เกิดวิวาทะทางการเมืองเรื่องข้อมูลข่าวสาร ว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากเป็นอันดับ 1 ของโลก หรือไม่?
รัฐบาลก็อุตส่าห์ให้สภาพัฒน์ ออกมาแถลงว่าความเหลื่อมล้ำมีจริง แต่ไม่เลวอย่างที่มีผู้ประเมิน แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ดีขึ้นนิดหน่อย
อย่าไปสนใจเรื่องดัชนีความเหลื่อมล้ำว่าดีขึ้นเป็นเลขจุดทศนิยมเลย เรามายอมรับความจริงกันเถอะว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก จะมากแค่ไหนก็ช่างหัวมัน ความร่ำรวยกระจุกอยู่กับคนจำนวนน้อย ส่วนความยากจนกระจายอยู่กับคนทั่วไป
และต้องยอมรับความจริงอีกด้านว่า ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนจนมีสถานะความเป็นอยู่ดีขึ้นจากเดิมมาก แต่ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยก็ห่างมากขึ้น
แสดงว่า กลุ่มคนชนชั้นบน ร่ำรวย มีสถานะดีขึ้นอย่างมากๆ
ทำไมประเทศของเรา จึงเป็นเช่นนี้?
1. คงจะไม่เป็นธรรมที่จะโทษรัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลชุดใดเป็นการเฉพาะ แต่ทั้งหมดเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่คงอยู่อย่างยาวนาน
2. ความมั่งคั่งร่ำรวย มีความสัมพันธ์กับอำนาจของคนในสังคม ชนชั้นผู้มีอำนาจสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ ออกกฎหมาย และบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่มีผลทางเศรษฐกิจได้
3. รายได้ของรัฐบาลจากภาษีอากรก็มาจากภาษีทางอ้อมถึง 70% ของรายได้ทั้งหมด คือ มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร ซึ่งคนรวยและคนจนต้องจ่ายในอัตราเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าชนิดเดียวกัน แสดงว่าภาษีนี้เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อรายได้ของผู้ซื้อสินค้าแล้ว คนมีรายได้สูงจะจ่ายภาษีเป็นสัดส่วนของรายได้ที่ต่ำกว่าคนจน
ส่วนภาษีทางตรงที่เก็บจากผู้มีรายได้ที่เรียกว่าภาษีเงินได้ประจำปี จากผู้มีเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร รัฐบาลก็เก็บภาษีได้เป็นส่วนมากมาจากเงินเดือนและค่าจ้างที่หลบหนียาก เพราะมีระบบหัก ณ ที่จ่าย ส่วนภาษีที่เรียกเก็บจากค่าเช่า ดอกเบี้ย และกำไร ซึ่งเป็นรายได้ของคนระดับสูง จะเรียกเก็บได้น้อย และมีการหลบหนีได้ง่าย
4.หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยเก็บภาษีส่งออกข้าวและยางพารา มาเป็นเวลานาน เพราะนอกจากจะได้รายได้ให้รัฐบาลใช้ ยังเป็นการกดราคาข้าวให้มีเสถียรภาพในระดับต่ำ และเมื่อใดก็ตามที่ราคาข้าวและยางพาราในต่างประเทศราคาสูง ผู้ส่งออกข้าวและยางพาราจะต้องเสียภาษีในอัตราสูงขึ้น และทั้งหมดนี้
ผู้ส่งออกก็ต้องกดราคารับซื้อในประเทศให้ต่ำลงตามจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย (ภาษีนี้มายกเลิกประมาณปี 2531 รวมเก็บมาเกือบ 50 ปี)
5. รัฐบาลไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังยกเว้นภาษีให้กับอุตสาหกรรม โดยอ้างว่าเป็นการส่งเสริมการลงทุน ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI มีอำนาจให้อุตสาหกิจเหล่านี้งดเว้นภาษีหลายชนิดในช่วงเวลาหนึ่งได้
ยิ่งกว่านั้น ยังยกเว้นภาษีรายได้ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้นำเงินลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ฯที่เรียกว่า LTF และ RMF มาหักภาษีเงินได้ ทำให้จ่ายภาษีเงินได้น้อยลงอีกด้วย
ซึ่งคนที่จะได้สิทธิเหล่านี้ คือชนชั้นบนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ภาษีมรดก และภาษีทรัพย์สินก็ยังไม่มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บ
6. ธุรกิจอุตสาหกรรมจำนวนมาก เป็นธุรกิจผูกขาด ไม่แข่งขัน ที่เกิดจากโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตเอง และเกิดจากนโยบายรัฐบาลที่สร้างการผูกขาดให้แก่นักธุรกิจ เช่น สัมปทานโรงเหล้า สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ แร่ธาตุ การก่อสร้างขนาดใหญ่ โครงสร้างการคมนาคมพื้นฐาน ทั้งสนามบิน รถไฟ สถานีขนส่ง เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น ยังปกป้องอุตสาหกรรมเกษตร โดยการให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี กากถั่วเหลือง ทำให้ราคาวัตถุดิบที่เกษตรกรไทยขายได้ราคาต่ำลง
อุตสาหกรรมการเกษตรหลายอย่างถูกควบคุมจำกัดจำนวน ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันมาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็น โรงงานน้ำตาล โรงบ่มในยาสูบ โรงสกัดน้ำมันละหุ่ง และแม้แต่โรงเหล้าก็จำกัดอยู่เฉพาะผู้ผลิตบางราย ทำให้เกิดกำไรพิเศษกระจุกตัว ชาวบ้านทั่วไปเดือดร้อน
7. อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม กระจุกตัวอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่รัฐบาลมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ราคาสินค้าอุตสาหกรรมจึงกำหนดที่กรุงเทพฯ แล้วบวกค่าขนส่งออกไปขายในต่างจังหวัด แม้แต่ราคาน้ำมันที่ถูกที่สุดก็อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อออกต่างจังหวัดก็จะแพงมากขึ้นตามระยะทาง
สินค้าเกษตรที่ส่งออกผ่านกรุงเทพฯ ก็จะถูกกำหนดราคากลางที่กรุงเทพฯ แล้วหักลดค่าขนส่งออกไปในต่างจังหวัด ราคาข้าวชนิดเดียวกัน ชาวนาที่อยู่ไกลจากกรุงเทพฯจะได้รับราคาข้าวต่ำกว่าชาวนาที่ปลูกข้าวใกล้กรุงเทพฯ
แสดงว่า ชาวบ้านต่างจังหวัดต้องแบกรับภาระค่าขนส่งทั้งขึ้นและล่อง
8. นานกว่า 50 ปีมาแล้ว ระบบธนาคารของไทยกระจุกตัว มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพฯ มีคนจำนวนหนึ่งเป็นเจ้าของ แล้วเปิดสาขาในจังหวัดต่างๆ เพื่อรับฝากเงิน เก็บเงินออมอัตราดอกเบี้ยต่ำ แล้วโอนเงินออมเข้าสู่กรุงเทพฯ รวบรวมเพื่อให้นายทุนอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมขนาดใหญ่ได้ใช้เงินทุนราคาถูก
เราจะพบว่า ธนาคารต่างๆ จะมีการโอนเงินจากสาขาเข้าส่วนกลาง มากกว่าการโอนเงินออกจาก
ส่วนกลางไปสาขาต่างๆ ในต่างจังหวัด
9. เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ระบบดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ IOT ฯลฯ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการผลิตทดแทนแรงงาน จะทำให้คนทำงานว่างงานมากขึ้น ค่าจ้างจะตกต่ำลงจากที่ควรจะเป็น นายจ้างที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วก็จะเป็นผู้ผูกขาดระบบธุรกิจการผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งหากรัฐปรับตัวและพัฒนาความสามารถไม่ทันก็จะไม่สามารถเก็บภาษีเป็นรายได้ของรัฐ และยังพึ่งพาภาษีจากคนส่วนใหญ่ที่ยากจน
10. ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศข้างต้น ทำให้คนชนบท แม้จะมีฐานะดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังลำบาก เหลื่อมล้ำกับคนในชนชั้นสูงมาก รัฐบาลจึงมักจะเอาใจ ใช้ประชานิยม เป็นเครื่องมือปลอบประโลม ลดแลกแจกแถม เสมือนเป็นยาแก้ปวดหัว บรรเทาอาการป่วยไข้ แต่ไม่ได้รักษา
ทางออกอยู่หนใด?
ความเหลื่อมล้ำ เป็นอาการของโรคร้าย ที่สะท้อนปัญหาความแตกต่างของคนไทย กลุ่มคนชนชั้นผู้มีอำนาจเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ย่อมมองเห็น เข้าใจปัญหาและผลประโยชน์ของตนได้ดี จึงรักษาโครงสร้างของความเหลื่อมล้ำ ความได้เปรียบมายาวนาน
ถามว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จะต้องสอดคล้อง ตอบโจทย์นี้อย่างไร เมื่ออำนาจยังกระจุกตัวอยู่ส่วนกลาง
การกระจายอำนาจ การเลือกตั้งครั้งใหม่ นโยบายพรรคการเมือง และการลดความเหลื่อมล้ำ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ประชาชนต้องคิดอะไร และทำอย่างไร?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี