เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มอบหมายให้ทนายความ นายธนากร แวกวารี แถลงกรณีคดีที่ตนถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นโจทก์ ฟ้องนายธาริตเป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาท สืบเนื่องจากที่นายธาริตแถลงกล่าวหานายสุเทพเกี่ยวกับกรณีทุจริตโรงพักทดแทน
ทนายความของนายธาริตได้อ่านคำแถลงของนายธาริตแทน ระบุว่า
“กระผม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ขอแถลงข่าวต่อสาธารณชนผ่านสื่อมวลชนว่า เมื่อครั้งผมดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น
ผมได้เคยแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชน เมื่อระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2556 เกี่ยวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยกเลิกและรวมสัญญาก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศ เป็นสัญญาเดียว อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับเหมาและยังได้แถลงข้อความอื่นๆ อีก การแถลงข่าวของผมดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายสุเทพเป็นอย่างมาก ท่านจึงได้ยื่นฟ้องผม ฐานหมิ่นประมาท ที่ศาลอาญา เป็นคดีดำที่ อ.๔๙๕/๒๕๕๖ คดีแดงที่ อ.๑๑๖๖/๒๕๕๘ ศาลอาญา และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ขออนุญาตฎีกาและได้รับอนุญาต ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา
บัดนี้ หลังจากได้พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว ผมได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ จึงพบว่าการแถลงข่าวของผมดังกล่าวเป็นการกระทำต่อนายสุเทพโดยไม่บังควร เป็นการจาบจ้วงและละลาบละล้วงต่อท่าน ทั้งที่ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชาและมีพระคุณอย่างมากต่อผม คำแถลงของผมมีลักษณะกล่าวหาและให้ร้ายต่อนายสุเทพ ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วการออกคำสั่งของนายสุเทพดังกล่าว เป็นการกระทำตามข้อเสนอของ ผบ.ตร.ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ โดยมีเหตุผลและที่มาที่ไปตามความเหมาะสมและจำเป็น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีดังกล่าว นายสุเทพยังไม่เคยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาใดๆ ตัดสินว่าท่านได้กระทำผิดเลย รวมถึงกรรมการ ป.ป.ช.ก็ไม่ได้ชี้มูลว่าท่านกระทำผิดใดๆ
ผมจึงขอถือโอกาสนี้ แสดงความสำนึกผิดและขอกราบขอขมาลาโทษต่อนายสุเทพ โดยแถลงให้สาธารณชนทราบเป็นการทั่วไป และขอกราบขอบพระคุณนายสุเทพที่จะได้เมตตายกโทษในคดีดังกล่าวต่อผม ตามที่นายสุเทพจะเห็นสมควรด้วย จึงขอแถลงมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน
อนึ่ง เนื่องจากคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน ศาลฎีกาท่านจึงได้นัดอ่านคำพิพากษาว่าจะลงโทษผมหรือไม่ อย่างไร โดยจะอ่านคำพิพากษาที่ศาลฎีกาเลย ไม่ส่งไปอ่านที่ศาลอาญา เหมือนคดีทั่วๆ ไป ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ เวลา 09.00 นาฬิกา จึงขอเชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจ
เข้ารับฟังด้วย…”
1. เหตุที่นายธาริตกลับลำ ยอมแถลงเช่นนี้ เพราะอะไร?
ทนายของนายธาริตเปิดเผยด้วยว่า ได้มีการเจรจาประนีประนอมยอมความ โดยความกรุณาจากอดีตอัยการสูงสุด นายคณิต ณ นคร รับเป็นคนกลางในการเจรจากับนายสุเทพให้ ให้นายธาริตทำหนังสือแสดงความสำนึกผิดและขอขมาลาโทษส่งไป แต่ยอมรับว่า แม้การเจรจาฯ จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาวันที่ 14 ธันวาคมนี้แล้ว นายธาริตจึงตัดสินใจยื่นขอให้การใหม่เป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง เพื่อให้สอดคล้องกับที่ได้มีหนังสือสำนึกผิดและขอขมาลาโทษต่อนายสุเทพไปแล้ว โดยได้ยื่นหนังสือสำนึกผิดต่อศาลด้วย พร้อมทั้งขอความเมตตาจากศาลฎีกา ขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปอีก 60 วัน เพื่อการเจรจาจะได้แล้วเสร็จ ซึ่งหากศาลฎีกาไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ก็ขอความกรุณาต่อศาลฎีกาลงโทษสถานเบา โดยรอการลงอาญา
สรุปง่ายๆ ว่า กลัวติดคุก
2. แบบนี้ แสดงว่า วันที่ 14 ธันวาคมนี้ นายธาริตยังต้องลุ้นหนัก
คดีนี้ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะยกฟ้อง แต่น่าสนใจว่า นายธาริตถึงขนาดรีบเร่งขอให้การให้เช่นนี้
จะล่วงรู้อะไรมาหรือไม่?
หรือตนรู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำไปเองอยู่แก่ใจ
จึงหวั่นเกรงอย่างยิ่งว่า ศาลฎีกาจะพิพากษาออกมาอย่างไร?
3. นายธาริตยอม “หมอบ” ในคดีนี้ ก็จริง แต่เดิมพันของนายธาริต ไม่ใช่แค่คดีนี้คดีเดียว
เพราะนายธาริตยังมีอีกมากมายหลายคดี บางคดีศาลฎีกาฯ พิพากษาให้จำคุก แต่รอการลงโทษอยู่
บางคดี อยู่ในขั้นตอนของศาล คดียังไม่ถึงที่สุด
ยกตัวอย่าง
ช่วงต้นปี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่านายธาริตกระทำผิดฐานแสดงบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ จงใจปกปิด เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ สั่งจำคุก 6 เดือน แต่นายธาริตสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุก 3 เดือน แต่รอการลงโทษไว้ 2 ปี ปรับ 5 พันบาท
นั่นเป็นกรณีนายธาริตและนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส ไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ประกอบด้วย เงินฝากธนาคาร 4 บัญชี มีเงินรวม 5 ล้านบาท เงินลงทุนในหุ้นบริษัท 2 แห่งมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน 2 แปลง รวม 2 ไร่ 50 ตารางวา ในอ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท และเงินฝากธนาคาร 2 บัญชีเป็นเงินกว่า 6 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในนามของนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานของนางวรรษมล
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางคดี ศาลฎีกาฯ เมตตา รอการลงโทษจำคุกไว้ก่อน
แต่ระหว่างนี้ หากนายธาริตเกิดมีโทษจำคุกจริง ก็คงไม่แคล้วคลาดอีกแล้ว
นอกจากนี้ นายธาริตยังมีอีกหลายคดี เช่น คดีร่ำรวยผิดปกติ กรณี ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ 7:0 ชี้มูลความผิดนายธาริต ร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ศาลพิพากษาให้ทรัพย์สิน จำนวนกว่า 346,652,588 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน
ยิ่งกว่านั้น ยังมีกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนการทุจริตในกรณีสหกรณ์คลองจั่น ประเด็นการขายที่ดินของนายศุภชัย
ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 1,822 ไร่ ให้กับบริษัท พิษณุโลก เอทานอล จำกัด วงเงินกว่า 477 ล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นการขายเพื่อชดใช้คืนให้กับสหกรณ์ฯ แต่พบว่า มีการคืนเงินให้กับสหกรณ์แค่ 100 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอสอบสวนพบว่าดีเอสไอในยุคนายธาริตเกี่ยวข้องด้วย แต่จะไปถึงตัวนายธาริตหรือไม่? เรื่องยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน
“กัมมุนา วัตตติ โลโก”-สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี