พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดล็อกให้พรรคการเมืองเรียบร้อยแล้ว อันเป็นลำดับขั้นที่สมควรทำนานพอควรแล้ว เพื่อเตรียมการสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นต้นปีหน้า
นับแต่นี้ การเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง จะมีการประชุมกันถี่ขึ้น จะเริ่มคัดตัวผู้สมัคร จะเริ่มให้สัมภาษณ์ จะเริ่มหาเสียง ซึ่งต้องคอยจับตาดูว่า อารมณ์แบบ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
แต่บรรยากาศหนึ่งที่เกิดขึ้นมาสักระยะแล้ว ก็คือ ลิ่วล้อของฝ่าย “ทักษิณ” ลุกขึ้นโจมตีรัฐบาลปัจจุบัน ถึงความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ ประชานิยม และการสืบทอดอำนาจ
พูดง่ายๆ ว่า สิ้นปัญญาจะทำให้คนอยู่ดีกินดี จนต้องหันมาแจกเงินในรูปแบบต่างๆ หวังจะสืบทอดอำนาจ
น่าเศร้านะครับ ที่ท้ายที่สุด บ้านเมืองจะวนกลับมาที่จุดนี้
ช่วง 2 ปีแรกหลังการรัฐประหาร นักการเมืองอยู่ในสภาพ “อาจม” ที่ผู้คนถ่มถุย ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่ได้โหยหา “ความมีตัวแทน” ที่หายไปเลย
“การปฏิรูป” คือ ความหวังของคนซีกหนึ่ง
“ความสงบสุข” คือ ความหวัง ของคนทั้งหลาย
“ปราบทุจริต ขจัดคนชั่ว จัดระเบียบบ้านเมือง” คือ คะแนนนิยมที่ท่วมฟ้าท่วมดิน ชนิดให้กินขี้ “ลุงตู่” คนจำนวนมหาศาลพร้อมจะบอกว่า “อร่อย”
คสช. เหมือนเทวดา นักการเมืองเหมือนหมาในขุมนรก!
อะไรพลิกสถานการณ์กลับมาถึงจุดนี้ จุดที่ คสช. ตกต่ำถึงขีดสุด นักการเมืองปีศาจ พรวดพราดขึ้นมาเล่นบทเทวดานางฟ้ากันอีกครั้ง “ลุงตู่” ถูกกล่าวหาว่าจะสืบทอดอำนาจ ผ่านบท “พ่อบุญทุ่ม” และบาดแผลใหญ่ที่นำมาสู่ความฉีกขาดของศรัทธาในหมู่ประชาชนก็คือ แม่น้ำทุกสายประสานพลัง “โกงกติกา” หาทางให้พรรคนอมินีอย่าง “พลังประชารัฐ” ชนะ พร้อมๆ กับการดูด สส. จากทุกขั้วทุกค่าย ไปคอยท่าไว้ จนแน่ชัดแล้วว่า ใครมาอยู่ด้วย ใครมีอิทธิพลตำบลไหน นำไปสู่การใช้ ม.44 ให้ท้าย กกต. ค่อยๆ “แบ่งเขตเลือกตั้ง” ไป ไม่ต้องกลัวเรื่องกำหนดเวลา และไม่ต้องกลัวว่า “จะขัดรัฐธรรมนูญ” เพราะ ม.44 บอกว่า แบ่งยังไงก็ไม่ผิด
“ผมการันตีเกือบ 100% ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกฯ ต่อไป พรรคการเมืองก็ต้องต่อสู้กันไป แต่ยังไงก็มองว่ามันถูกออกแบบมาอย่างนี้”นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการ เพิ่งออกมาฟันธงเมื่อเร็วๆ นี้
นายธีรยุทธกล่าวว่า การเมืองไทยในอนาคตจึงเป็นประชาธิปไตยอิทธิพล เป็นการเมืองใต้เงื้อมมือทุนอิทธิพลได้ในที่สุด ดังนั้น คำขวัญที่ว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” จึงหมายความว่า มั่นคง คือรัฐมั่นคง มั่งคั่ง คือธุรกิจใหญ่มั่งคั่ง ยั่งยืน คืออำนาจของกลุ่มนี้ยั่งยืน ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ คงจัดตั้งรัฐบาลหน้าขึ้นได้ เพราะรูปแบบการประสานประโยชน์ระหว่างพลังทหาร ข้าราชการ กลุ่มอนุรักษ์ และกลุ่มทุนใหญ่ ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้ง คสช.ได้ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. กกต. ปิดกั้นการตรวจสอบ คนมองการเมืองรู้สึกสะดุดกับปัญหานี้ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2540 พยายามที่จะสร้างให้มีความน่าเชื่อถือพอสมควร แต่ตอนนี้ความน่าเชื่อถือลดลง ความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช.ลดลงไปมากเมื่อมีคดีพี่ใหญ่ เรื่องนาฬิกา กกต. ก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น มีเสียงร่ำลือว่าจะเกิดอะไรต่างๆ ตามมา หวังว่าท่านที่อยู่ในองค์กรอิสระจะพยายามทำให้ดีขึ้น
นายธีรยุทธกล่าวว่า พฤติกรรมการเลือกตั้งไม่ต่างไปจากระบบทักษิณ คือมีการเอารัดเอาเปรียบก่อนเลือกตั้ง เช่น การดิสเครดิตนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามโดยอำนาจรัฐประหารที่ตนมี จับกุม ดำเนินคดี หรือเรียกมาอบรม ไปจนถึงการแจกเงินคนจน คนแก่ข้าราชการ ชาวไร่ ชาวสวน บัตรเครดิตคนจน แจกซิมฟรี อินเตอร์เนตฟรี ลดภาษี ช็อปช่วยชาติ ขึ้นรถไฟฟ้าฟรี ฯลฯ
“ผมตั้งข้อคิดว่า ให้ฟรี 2 อาทิตย์ก็ได้ แต่ทำไมให้ฟรี 4 เดือน จะทำให้คนรู้สึกคุ้นหรืออย่างไร มองว่า การเลือกตั้งปี 2562 ก็จะเป็นการประมูลสัมปทานคะแนนเสียงเป็นรัฐบาล ไม่ใช่การซื้อเสียง คล้ายการเลือกตั้งปี 2542 ซึ่งพรรคของนายทักษิณก็ทำได้เก่ง เพราะประมูลเสียงจากชาวบ้านอย่างได้ผล มีการต่ออายุสัมปทานซ้ำหลายรอบ
“ผมขอวิงวอนว่า ในการเลือกตั้งที่จะถึง อย่าให้สังคมสรุปว่า มีอำนาจต่างๆ ทำให้เกิดการโกงการเลือกตั้ง หรือเป็นการเลือกตั้งสกปรก แบบเดียวกับสมัยเผด็จการทหารปี 2500 เพราะผมมองไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยใดที่จะทำให้เกิดการชุมนุมในขณะนี้ นอกจากการชนะการเลือกตั้งที่มาจากการโกง” นายธีรยุทธกล่าว
นายธีรยุทธยังบอกด้วยว่า เชื่อว่าการเลือกตั้งที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ จะช่วยสร้างภาวะความแตกต่างอย่างปกติขึ้น ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย จะไม่มีใครใช้วาทกรรมนโยบายสุดขั้วมาหาเสียง เพราะถ้าใช้วาทกรรมสุดขั้วมาหาเสียงเมื่อไหร่ พรรคที่จะโกยคะแนนเสียง คือ พรรคพลังประชารัฐ ที่รออยู่ว่า เพื่อไทยสุดขั้วเมื่อไหร่ คะแนนจะเข้ามาหาเขา หวังว่าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และทุกพรรคจะพัฒนานโยบายให้สร้างสรรค์ ที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องด้วย ก็จะทำให้การเลือกตั้งเดินหน้าไปด้วยดี มีโอกาสร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถ้ารวมกันทำโดยแสดงเหตุผลที่เหนือกว่า อาจจะทำให้สำเร็จโดยไม่ต้องเผชิญหน้าปะทะรุนแรงกับฝ่ายทหารอีก
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับนายธีรยุทธเสียทุกอย่าง แต่เห็นด้วยว่า ทันทีที่ คสช. และองคาพยพที่เกี่ยวข้อง ทำการเมืองให้ “เน่า” เขาก็อยู่ในสภาพ “โสมม” ไม่ต่างกัน กับนักการเมืองที่เขาเคยก่นด่า ตำหนิ และประชาชนก็เบื่อหน่าย
นี่ทำให้ประชาชนเหลือความหวังในฟางเส้นสุดท้าย คือ จะพบ “พรรคการเมือง” ที่ไม่เล่นน้ำเน่า คือ ไม่เอาน้ำเน่าทางการเมืองมา “สาดโคลน” ใส่กัน แต่จะ “ปฏิรูปตัวเอง” ด้วยการ “ทำการเมืองสร้างสรรค์” พาบ้านเมืองออกจากความขัดแย้ง ไปสู่ “ยุคใหม่”
ผมดีใจว่า หลังได้หัวหน้าพรรคที่มาจาก “ประชาธิปไตย” แท้จริง คือ ให้สมาชิกพรรคได้เลือก ผ่านกระบวนการ “หยั่งเสียงหัวหน้าพรรค” แม้จะขลุกขลัก ขัดแย้ง กระทบกระทั่งกันเองบ้าง (หนักทีเดียวแหละ แต่พยายามกลบเกลื่อนให้มันเบาลง และเบาลงเองตามกาลเวลา) “พรรคประชาธิปัตย์” เริ่มแสดงให้เห็นความเป็น “ยุคใหม่” แล้ว จากการระมัดระวัง เลือก และสุขุมต่อการติติง วิพากษ์วิจารณ์ ทว่า มุ่งแสดงความเป็นห่วงต่อ “หลักการ” และ “ปัญหาของประเทศชาติ-ประชาชน” มากกว่าการ “โจมตี” หรือ “โต้วาที” ทางการเมือง
สังคม โดยเฉพาะสื่อ อาจตามไม่ทันประชาธิปัตย์ จึงเฝ้ารอแต่คำตอบว่า เขาจะเลือกข้างไหน จะจับมือกับใคร ครั้นเขาบอกว่า จะเป็นทางเลือกที่ 3 เราะไม่อยากเห็นประชาชนถูกต้อนเข้ามุมอับ ให้เหลือทางเลือกแค่ คสช. กับทักษิณ ก็หงุดหงิดงุ่นง่าน หยามหยันอยู่ในที ครั้นเขาบอกว่ายังไม่เห็นประโยชน์ที่จะคุยกับพลังประชารัฐในเวลานี้ ก็ไปพาดหัวข่าวล็อกขอเขาไว้แล้วว่า ปชป. ไม่จับมือ พปชร. วันๆ เอาแต่กดเครื่องคิดเลข คำนวณจำนวน สส. แล้วตั้งรัฐบาลโดยมองข้ามหัวประชาชนคนเลือกไปเสียอย่างนั้น
ประชาธิปัตย์กำลัง “วางท่าที” ที่เหมาะงามตามสถานการณ์ อยู่ที่ยังไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีพลังว่า เป็น “ประชาธิปัตย์ยุคใหม่” หลังปลดล็อกนี่ คงสื่อสารอะไรได้ถนัดชัดเจนขึ้น โดยมีโจทย์ที่ท้าทายประชาธิปัตย์คือ ไม่หาเสียงด้วยการปลุกความเกลียด ความโกรธ ความกลัว แต่จะสร้างความสนิทใจ ผ่านการสะท้อนให้เห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมา “ประชาธิปัตย์ไม่เคยปิด อภิสิทธิ์ไม่เคยหยุด” ทำงานแม้ไม่มีเงินภาษีตอบแทนในรูปของเงินเดือน ลงพื้นที่ตลอด รับฟังปัญหา พบปะตัวแทนกลุ่มต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเตรียมการปฏิรูป ซ่อม สร้าง หลัง คสช. ประกาศเปิดเทอมใหม่ ประชาธิปัตย์ไม่เคยปิดเทอม ไม่เคยปิดบ้าน รับฟังข้อร้องเรียนต่างๆ และเป็นปากเป็นเสียงอย่างเหมาะควร เช่น นำเสนอไปยังรัฐบาลให้แก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน สับปะรด ข้าวโพด ฯลฯ สะท้อนความเดือดร้อนของภาคประมง ที่ทยอยสิ้นเนื้อประดาตัวพร้อมๆ กับสิ้นหวัง เนื่องจากการออกกฎหมายของรัฐบาล ที่ “หนักข้อ” ไปกว่าข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป เป็นต้น
และได้เปิดทางให้คนรุ่นใหม่แสดงตัวในนามกลุ่ม “New Dem” ที่พร้อมจะรวมสติปัญญาของคนทุกรุ่นมารับมือกับปัญหาของประชาชนและอนาคต ที่กำลังไล่บี้ประเทศไทยให้จมดิ่งลงไปกับโลกาภิวัตน์ ไม่สาละวนกับคำว่า คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ รุ่นไหนดี
หันมาดู “เพื่อไทย” ความท้าทายคือ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะทำ “การเมืองใหม่” ได้แค่ไหน หรือจะติดนิสัยเก่าๆ ท่ามกลางความไม่สามัคคีกันเองของคนในพรรคที่มีหลายก๊ก ส่วน “ไทยรักษาชาติ” ที่แตกตัวออกไป เป็นขุมกำลังใหญ่ เผื่อ “เพื่อไทยถูกยุบ” หากยังให้ “ปรีชาพล พงษ์พานิช” เล่นสำนวน “ฝ่ายประชาธิปไตย” เหมือนรุ่นแก่และเศษเดนเก่าๆ ที่คนเบื่อหน้า เล่นคำนี้อยู่ เขาจะไม่เป็นความหวังใด ให้คนกลุ่มใหม่ๆ หันมาเลือกพวกเขา ที่ถูกพะยี่ห้อไว้ ว่าเป็นเครือข่ายของฝ่ายทักษิณอย่างชัดเจนได้เลย
“อนาคตใหม่” เคลียร์ปัญหา “อีคิวต่ำ” ของกันและกันให้ได้ ชนะสงครามข้างใน จึงจะได้ที่นั่งในสนามเลือกตั้งข้างนอก พรรค “ลุงกำนัน” เดินหน้าแก้ “จุดอ่อน” ของลุงจนแทบไม่มีโอกาสโชว์คนอื่นๆ ในพรรค ใช้สรรพกำลังอธิบายอย่างเดียว ว่า “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” มายุ่งในเส้นทางการเมืองอีกทำไม ส่วนพรรคอื่นๆ ที่ยังไม่กล่าวถึง อยู่ในสภาพรักษาเก้าอี้เก่าของตนให้ได้ กับเป็นไม้ประดับในสนามเลือกตั้งเท่านั้น
กติกาที่เอาเปรียบ ประชานิยมที่ถูกงัดมาใช้ ลดระดับ คสช. ที่ถูกตีความว่ากลายร่างเป็น พปชร. ไปเท่ากับ “ฝ่ายทักษิณ” ทำให้อนาคตของ พปชร. ชักไม่สวย “รถดูดส้วม” ที่จอดอยู่ เริ่มงงว่าจะบริหารจัดการกับสิ่งที่สูบมาอย่างไรดี ใครจะเป็น “พรีเซ็นเตอร์” ที่มีราคา ชนิดที่หากยังผลักสมศักดิ์ เทพสุทิน, สุชาติ ตันเจริญ, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ออกหน้ามากๆ จะยิ่งถดถอย กระแสที่ดูเหมือนมาแรกตอนแรกๆ จะพลิกกลับชนิด “พลิกคว่ำ” กันเลยทีเดียว
เป็นฝ่าย “ลุงตู่” เอง ที่ทำให้ “ผีทักษิณ” ที่แทบจะถูกลืมไป หมดราคาไป กลับมามีราคาอีก ยิ่งลุงกำนันพยายามช่วยลุง ด้วยการขายแคมเปญ จะทุ่มทั้งชีวิตสู้กับระบอบทักษิณ วิจารณ์ปัญหาเศรษฐกิจ และพูดถึงการปฏิรูปเท่าไร ยิ่งตอกย้ำ “ความล้มเหลว” ของเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา
ท่ามกลางความเบื่อหน่ายต่อ “ทักษิณ ไม่ทักษิณ เผด็จการหรือประชาธิปไตย การเมือง “ยุคใหม่” จะพาผู้คนเดินออกจากความสะอิดสะเอียนในบรรยากาศเดิมๆ จึงวกกลับไปท้าทายพรรคเก่า อย่าง “ประชาธิปัตย์” เข้าอย่างจัง
มีพลังที่จะสื่อสารพอไหม ให้คนเลือกทางใหม่ เลือกความหวัง เลือกหลังการประชาธิปไตย โดยเราทุกคนจะไม่เอาแต่โทษกันไปโทษกันมา ทว่า เราต่างมีส่วนนำบ้านเมืองมาถึงจุดนี้ ดังนั้น นับจากนี้ พาบ้านเมืองออกจากปัญหากันนะ ขอโทษ เสียใจ ไป! ไปรบกับปัญหาที่มันจะฆ่าเราทุกคนกันดีกว่า ไม่ว่าเราจะใส่เสื้อสีใด
แสดงปัญหา แสดงภูมิรู้ต่อปัญหา แสดงทางออก แสดงคณะทำงานที่จะรบกับปัญหา ไม่ใช่วันแมนโชว์ และบอกกับประชาชนว่า เลือกอย่างที่คุณอยากได้ ไม่ใช่เลือกด้วยความเกลียดใครกลัวใคร แล้วจมอยู่กับ “สงครามภายในไม่รู้จบ”
“แสงสว่างท่ามกลางความมืด” คงเรืองรองขึ้นได้ ด้วยบรรยากาศและท่าทีแบบนี้...เท่านั้น !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี