สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ จัดกิจกรรมยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กปี 2561 เมื่อเร็วๆ นี้ น่าสนใจ
โดย น.ส.ลานทิพย์ ทวาทศิน นายกสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับ บ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง มูลนิธิพิทักษ์สตรีและมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ภายในงานมีการแสดงละครชีวิต (จริง) “เจ็บนี้..ใครช่วยฉันได้” จากสมาชิกบ้านพักฉุกเฉิน และกล่าวสุนทรพจน์, นิทรรศการ “เขาวงกตแห่งความทุกข์” เรื่องเล่าความรุนแรงจากผู้ประสบความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศ
จากนั้นตัวแทนสมาชิกบ้านพักฉุกเฉิน ได้ยื่นข้อเสนอต่อ นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี ตัวแทนสมาชิกบ้านพักฉุกเฉิน กล่าวถึงจุดยืนและข้อเสนอต่อพม. 7 ข้อดังนี้ 1.เมื่อไปจดทะเบียนสมรสแล้วควรมีคู่มือ “ผัว-เมีย” เพื่อเป็นกติกาในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน 2.ควรมีศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิงในชุมชน หมู่บ้าน ไม่ใช่เพียงการประชาสัมพันธ์ในภาพรวมแต่ไม่มีประสิทธิภาพ 3.มีการติดตามคดีที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และควรควบคุมตัวผู้กระทำทันทีเพื่อป้องกันการถูกกระทำซ้ำ ไม่ใช่ควบคุมผู้ถูกกระทำ(ผู้หญิง) 4.เมื่อผู้หญิงและเด็กถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ควรมีการดำเนินคดีผู้กระทำด้วยความรวดเร็ว 5.ควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก 6.เมื่อมีการฟ้องร้องคดีอยากให้มีกองทุนยุติธรรมที่เข้าถึงได้ง่าย และ 7.ควรจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ให้สามารถนำไปประกอบอาชีพ/เงินสำหรับดูแลตัวเองและบุตรให้มีความมั่นคงสืบไป
“ข้อเสนอทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเราอยากให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างเปลี่ยนแปลง จากประสบการณ์ของเพื่อนๆที่เป็นผู้ถูกกระทำ บางกรณีหน่วยงานไม่ขอยุ่งเกี่ยว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องผัวเมีย กระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากบ้านพักฉุกเฉิน อยากฝากถึงผู้หญิงทุกคนว่า อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ อย่าคิดว่าอยู่ตัวคนเดียว เพราะมีคนอีกมากที่พร้อมจะช่วยเรา” นางสาวเอ กล่าว
นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พม. กล่าวภายหลังรับข้อเสนอว่า จะนำข้อเสนอเข้าที่ประชุมเชิงนโยบายระดับชาติ และระดับจังหวัด ทั้งนี้ทางกรมกิจการสตรีฯมีภารกิจสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง พยายามแก้กฎหมายการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. เตรียมเข้าสู่สภาภายในธ.ค.นี้ ส่วนเนื้อหาระบุว่า นายทะเบียนที่เป็นผู้รับจดทะเบียน จะต้องแจ้งสิทธิต่างๆ ในการสร้างครอบครัว นอกจากนี้เรายังจัดทำหลักสูตรให้ความรู้การสร้างครอบครัวก่อนแต่งงาน
“ทัศนคติของคนในสังคมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คือเริ่มมองเห็นความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เริ่มออกมาแจ้งความเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมา พม. รณรงค์ไม่ยอมรับไม่นิ่งเฉย ปัญหาของสังคมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว โดยกลไกที่พัฒนาได้ดี คือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 ที่ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะรับฟังปัญหาและให้คำปรึกษา นอกจากนี้ การพัฒนาพื้นส่วนตำบล เราสามารถยกระดับศูนย์พัฒนาชุมชนขึ้นเป็นศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขความรุนแรงของครอบครัว (ศกกต.) ที่ทำเฉพาะด้านการยุติความรุนแรง ปีนี้ทำได้ 21 จังหวัด 42 พื้นที่ ผู้ประสบปัญหาสามารถเข้ามาอยู่อาศัย รับการดูแลและมีการฝึกอาชีพ และเพิ่มศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขความรุนแรงให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ” นายเลิศปัญญา กล่าว
ด้าน นางณัฐิยา ทองศรีเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ บ้านพักฉุกเฉิน ดอนเมือง กล่าวว่า บ้านพักฉุกเฉินดูแลปัญหาความรุนแรงทุกรูปแบบแต่ละวันรับเคสเข้า-ออกประมาณ 80-85 ราย หรือใน 1 ปี ประมาณ 300 ราย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาท้องไม่พร้อม ติดเชื้อเอชไอวี ถูกกระทำความรุนแรง โดยบ้านพักจะดูแลตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า ที่พัก ยารักษาโรค มีทีมพยาบาล อาสาสมัคร นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาดูแลตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ทางบ้านพักยังมีศูนย์การศึกษาและฝึกอาชีพ โครงการเพิ่มต้นทุนชีวิตใหม่โดยมีเงินให้เพื่อนำไปใช้ดำเนินชีวิตหลังจบการศึกษาม.6
“สิ่งที่น่าห่วงในบ้านพัก คือ การฟื้นฟูเยียวยาต้องเร่งทำอย่างมาก เนื่องจากเคสที่เข้ามาต้องถูกกดทับ เกิดความเครียดซึมเศร้า ซึ่งต้องเน้นการเสริมพลังกายใจให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการเน้นให้ผู้ประสบปัญหาความรุนแรงมาบอกเล่าเรื่องราวผ่านการแสดงต่างๆ ซึ่งเป็นชีวิตจริงที่เขาต้องเผชิญ สะท้อนผ่านไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม” นางณัฐิยา กล่าว
ขณะที่ นางสาวมณี ขุนภักดี ผู้จัดการฝ่ายจัดการความรู้ มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม กล่าวว่า หากย้อนกลับไปทบทวนการรณรงค์ยุติความรุนแรงที่ผ่านมา แทบเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ที่หมดไปกับค่าจ้างออแกไนเซอร์ ค่าตัวดารานักแสดง ค่าเสื้อและสื่อรณรงค์ ค่าสถานที่ ค่าตอบแทนการแสดง และอื่นๆ อีกมากมาย หากเอางบประมาณบางส่วนมาเป็นกองทุนพิเศษสำหรับผู้หญิงที่ประสบความรุนแรงคงมีประโยชน์มากกว่า อยากเห็นการต่อยอดที่นำไปสู่การมีช่องทางการช่วยเหลือ การเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบความรุนแรงที่มีความเข้าใจทั้งต่อผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ไม่อยากเห็นการรณรงค์ที่จัดแล้วจบไปแต่ละปี ปีหน้าก็เปลี่ยนประเด็นใหม่ และการรณรงค์ครั้งนี้เป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการรณรงค์ยุติความรุนแรงที่เจ้าของประสบการณ์ความรุนแรง ได้ลุกขึ้นมาสะท้อนปัญหาจากมุมมองตัวเอง และได้เสนอทางออกในการแก้ไขปัญหา ได้อย่างตรงจุด
ครับก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี