การเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. 2562 (หากไม่มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้เลื่อนอีก) ต้องถือว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะไม่เพียงแต่ก่อนการเลือกตั้งที่พรรคบางพรรคประกาศหนุนผู้มีอำนาจในปัจจุบันให้กลับมาเป็นผู้นำอีกครั้งหากได้รับชัยชนะ ยังมีเรื่องของ “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลต้องปฏิบัติตาม จนมีผู้กังวลว่าอาจเป็นอุปสรรคในการคิดนโยบายของพรรคการเมืองมาแข่งขันกัน
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำความเห็นจากพรรคการเมือง ที่ส่งตัวแทนไปร่วมงานเสวนา “การปฏิรูปและนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลเลือกตั้ง” จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงท้ายๆ มีการพูดถึงมุมมองของแต่ละพรรคต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการตัดสินใจในอนาคตว่าจะทำอย่างไรหากได้เข้าไปเป็นรัฐบาล มานำเสนอให้ทุกท่านได้พิจารณากัน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) : ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้นเพราะไม่สอดคล้องกับยุคสมัย การเขียนยุทธศาสตร์ชาติเป้าหมายไม่ผิดเพราะต้องการให้ประเทศมั่นคง แข่งขันได้ มีการพัฒนาคน มีสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ถ้าติดขัดเพราะมีบางสิ่งเขียนไว้รัดตัวเกินไป ในความเห็นคือถ้าต้องแก้เพื่อผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ก็ต้องแก้ และในที่สุดถ้ามันวุ่นวายมากจำเป็นจะต้องรื้อก็ต้องรื้อ แต่จะไม่เสียเวลากับการต่อสู้ที่บอกว่าถ้าเข้าไปแล้วจะเข้าไปแก้หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ เพราะในขณะนี้ยังเดินหน้าไปได้แล้วในอนาคตรัฐธรรมนูญอาจต้องถูกแก้ทั้งฉบับอยู่แล้ว
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (พรรคอนาคตใหม่) : ไม่ว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแผนปฏิรูปประเทศที่ออกมาพร้อมกับรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเอาไว้หยุดยั้งพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐธรรมนูญ 2560 เขียนโดยทหารเพื่อทำให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนยังครองอำนาจอยู่ได้ กลไกที่เกิดขึ้นจึงเพื่อสกัดการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองและการมีอำนาจของประชาชน ไม่ว่าอำนาจฝ่ายบริหารที่ลดลง กฎการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แต่งตั้ง วัตถุประสงค์เดียวคือสกัดกั้นไม่ให้เกิดประชาธิปไตยในประเทศไทย เป็นเครื่องมือเล่นงานคู่แข่งทางการเมือง
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ (พรรคภูมิใจไทย) : ในโลกปัจจุบันไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตได้ไกลขนาดนั้น เอาแค่วันนี้เรากลับไปดู 2 ปีที่แล้วมันก็เปลี่ยนไปเยอะ 10 ปีก่อนไปคุยกับชาวบ้านเรื่องเฟซบุ๊ค (Facebook) ไม่รู้เรื่อง วันนี้ชาวบ้านขายของ ดูยอดวิว (View) ยอดแชร์ (Share) คุยเรื่องเฟซบุ๊คกันรู้เรื่อง โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าโรดแมป (Road Map) ไม่เปิดโอกาสให้ปรับปรุงแก้ไขเราก็จะตามโลกไม่ทัน ถ้าปรับปรุงได้ก็ต้องปรับ แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรก อันดับแรกคือกฎหมายใดที่ขัดขวางการทำมาหากินของประชาชนก็จะแก้ตรงนั้นก่อน
กิตติรัตน์ ณ ระนอง (พรรคเพื่อไทย) : ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กำหนดให้รัฐบาลในอนาคตมีหน้าที่บริหารงานให้สอดคล้อง ซึ่งหากถูกตีความว่าไม่สอดคล้องก็จะมีความผิด ข้อความที่อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติอ่านแล้วตีความว่าทำถูกหรือทำผิดก็ได้ จึงรู้สึกว่าน่าจะเป็นเครื่องมือทางการเมือง พรรคการเมืองที่เดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งก็พร้อมปฏิบัติตามกรอบที่กำหนดไว้แล้ว และเชื่อว่าในใจของพรรคการเมืองที่เสนอตัวขอให้ประชาชนเป็นคนให้พลังจากคะแนนเสียงที่มอบให้ แล้วถ้าคะแนนมันชัดเจนถล่มทลายพอสมควร มันก็เป็นพลังในการเดินไปทำงาน
นโยบายที่เห็นว่าขัดต่อกฎหมายหรือเงื่อนไขสำคัญในชั้นนี้คงไม่นำเสนอ แต่มั่นใจว่าพร้อมเสนอนโยบายต่างๆ ที่ทำได้ แล้วถ้าไปถูกตีความโดยอาศัยเครื่องมือทางการเมืองตรงนั้น ก็ทำได้อย่างเดียวคือฟ้องประชาชน ให้ประชาชนเห็นว่าอย่างนี้หรือที่ตีความว่าไม่ถูกต้อง เป็นกรอบที่คิดว่าเป็นเงื่อนไขขั้นแรก แต่มั่นใจในระยะยาวว่าในทางสังคม ทุกคนจะยอมรับว่าการวางแผนระยะยาว 2 ทศวรรษแล้วปรับเปลี่ยนถ้อยคำเจตนารมณ์บางส่วนไม่ได้ มันไม่น่าจะเป็นที่พึงปรารถนาของเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก็คือประชาชน
สมพงษ์ สระกวี (พรรคเสรีรวมไทย) : ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นเรื่องใหญ่พอสมควรถ้าจะหาเรื่องกัน พรรคการเมืองกำหนดนโยบายจะไปบริหารประเทศก็อาจจะถูกตีความว่าขัดหรือไม่ขัดได้ ตอนเป็นรัฐบาลแล้วดำเนินนโยบายก็เช่นกัน เรื่องนี้ง่ายมากที่จะถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง สมมุติประกาศว่าไม่เอายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แบบนี้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เอาเรื่องได้เลย
รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 65 ระบุว่า รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว, การจัดทำ การกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย และสาระที่พึงมีในยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงด้วย
ขณะที่ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 หมวด 3 มีส่วนที่กำหนดให้ทุกภาคส่วนของภาครัฐต้องกระทำสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ไล่ตั้งแต่ มาตรา 23กำหนดให้คณะรัฐมนตรีวางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
มาตรา 24 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และสภาพัฒน์มีหน้าที่ทำรายงานประจำปีเสนอต่อรัฐสภาเพื่อเป็นการติดตามผลการปฏิบัติให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ เว้นแต่กรณีเสนอเป็นการเฉพาะเรื่อง ส่วน มาตรา 25 - 26 ระบุว่า หากหน่วยงานรัฐไม่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจสอบสวนและชี้มูลความผิดได้
“การแก้ไขหรือยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติจากรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องยากมาก” เพราะใน รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 แม้จะให้คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เป็นผู้เสนอญัตติได้ แต่ลำพังเพียงการออกเสียงในวาระแรก (ขั้นรับหลักการ) ก็กำหนดให้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าใน 5 ปีแรก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเป็นผู้เลือก สว. ทั้งหมด 250 คน ตาม มาตรา 259 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560
ดังนั้นแม้จะมีการเลือกตั้ง แต่เส้นทางของ “พรรคการเมืองที่คิดต่างจากผู้มีอำนาจปัจจุบัน” หากได้ชัยชนะเป็นรัฐบาลชุดต่อไปคงต้องบอกว่า “เหนื่อยเอาเรื่อง”!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี