ยังไม่ทันออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง สส. ปรากฏว่า พรรคการเมืองหลายพรรคประกาศนโยบายหาเสียงกันคึกคัก
เรียกว่า ถ้านับรวมงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องใช้ทั้งหมดนั้น น่าจะมหาศาลจนขนลุก
การแข่งขันกันด้วยนโยบายเป็นสิ่งที่ดี ควรสนับสนุนอย่างยิ่ง
แต่ต้องเป็นไปตามกติการัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ต้องการเป็นหลักประกันแก่ประเทศชาติว่าจะไม่มีการขายฝัน หลอกฟันคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือแข่งขันเสนอนโยบายผลาญเงินแผ่นดินจนเกินขอบเขต
คุณภูมิพิชญ์ ยาสิทธิ์ วิทยากรชำนาญการพิเศษ สำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ได้เคยเขียนบทความสรุปข้อมูลและประเด็นข้อกฎหมาย ว่าด้วยเรื่อง “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กับการดำเนินนโยบายประชานิยม”
เรื่องนี้จะเป็นประเด็นสำคัญต่อไป ขออนุญาตสรุปใจความสำคัญมานำเสนอ ดังนี้
1. ตัวอย่างการดำเนินงานตามโครงการประชานิยมที่ผ่านมา ในช่วงปี 2554-2558 จำนวน 8 โครงการ มีการใช้เงิน 827,178 ล้านบาท บางโครงการใช้จากงบประมาณแผ่นดิน บางโครงการใช้เงินนอกงบประมาณ ดังนี้
โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย (ปี 2555-2558) 35,257 ล้านบาท
โครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร (ปี 2555-2557) 15,420.66 ล้านบาท
โครงการมาตรการรถยนต์คันแรก (ปี 2555-2558) 67,434 ล้านบาท
โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet PC) (ปี 2555-2558) 3,276 ล้านบาท
โครงการรับจำนำข้าวเปลือก (ปี 2554-2558) 443,076 ล้านบาท (เบื้องต้น)
โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย (ปี 2555-2557) 19,750 ล้านบาท
การลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล (ปี 2554-2557) 233,113 ล้านบาท
โครงการบ้าน ธอส. (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ปี 2555-2556) 9,850 ล้านบาท
2. ผลของการใช้นโยบายประชานิยมอย่างไม่ระมัดระวัง
คุณภูมิพิชญ์ ยาสิทธิ์ เตือนว่า หากมีการใช้นโยบายประชานิยมอย่างไม่ระมัดระวัง ยังจะทำลายโครงสร้างทางสังคมและการเมืองของประเทศ ดังนี้
- โครงการประชานิยมจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้เสียประโยชน์ (ผู้เสียภาษีมาก) กับผู้รับประโยชน์โดยที่ผู้เสียประโยชน์จะต่อต้านคัดค้านทางการเมือง ต่อต้านนโยบายรัฐบาลที่ต้องจ่ายเงินและกู้ยืมเงินมากขึ้นสร้างหนี้สาธารณะเป็นภาระให้กับคนรุ่นหลัง เกิดความแตกแยกทางสังคมและการเมืองในประเทศ
- โครงการประชานิยมทำให้ประชาชนผู้รับประโยชน์ทำงานน้อยลง เนื่องจากการทำงานมากขึ้น ก็เหนื่อยมากขึ้น แต่จะรอคอยรับผลประโยชน์ฟรีจากรัฐมาจุนเจือการบริโภคในชีวิตประจำวันมากกว่าการขยันทำงาน ซึ่งไม่ส่งเสริมนิสัยการขยันทำงานของประชาชน ศักยภาพในการทำงานของภาคแรงงานก็จะลดลง
- ในทางการเมืองรัฐบาลต้องเพิ่มผลประโยชน์ตามโครงการประชานิยมขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งฐานคะแนนเสียงและสร้างความนิยมของพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ในขณะที่ภาคประชาชนก็จะอ่อนแอลงในระบบการเลือกตั้ง การตัดสินใจในการลงคะแนนเลือกตั้งที่อิงกับผลตอบแทน ส่งผลต่อการเลือกตั้งที่จะทำให้ได้ตัวแทนของประชาชนที่ไม่มีคุณภาพเข้าไปทำหน้าบริหารประเทศ
- ผลจากนโยบายประชานิยมที่เกิดจากการบริโภคสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น ทำให้กลุ่มธุรกิจมีการสะสมทุนได้มากยิ่งขึ้น กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้นำทางการเมืองอย่างใกล้ชิด การที่ประชาชนนิยมบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น เช่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ตลอดถึงการที่กระแสบริโภคนิยม ยังขยายตัวต่อไปมากขึ้นด้วยอิทธิพลการโหมโฆษณาของสื่อต่างๆ จะทำให้กลุ่มทุนที่ทำธุรกิจด้านนี้ ได้กำไรมากขึ้นต่อเนื่องยาวนาน จากเม็ดเงินของประเทศที่ลงไปอยู่ในมือของประชาชนจากนโยบายประชานิยมต่างๆ กลุ่มทุนสามารถคุมอำนาจทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของประเทศ ในที่สุด ความมั่งคั่งเกิดขึ้นมากกับกลุ่มทุนที่สนับสนุนรัฐบาล เกิดความเหลื่อมทางสังคมทางชนชั้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดวิกฤติทางสังคมและการเมืองตามมา
3. ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จึงให้หาวิธีป้องกันไม่ให้มีการดำเนินนโยบายประชานิยมในอนาคตที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
คุณภูมิพิชญ์ ยาสิทธิ์ มีข้อเสนอแนะด้วยว่า
3.1 ต้องมีบทบัญญัติที่ห้ามมิให้มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยไม่มีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ หรือไม่มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ รวมทั้งการตั้งงบประมาณรายจ่ายใดๆ ต้องอยู่ในกิจกรรม แผนงาน หรือโครงการของหน่วยงานของรัฐ และมีการกำหนดสัดส่วนของการตั้งงบกลางต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ชัดเจน
3.2 มีการกำหนดให้การก่อหนี้สาธารณะของประเทศต้องนับรวมถึงการก่อหนี้โดยหน่วยงานอื่นของรัฐด้วย เช่นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ภาระหนี้สาธารณะของประเทศมีความครอบคลุมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพปัญหา เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ความมีเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจของประเทศ
3.3 มีแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา อันเนื่องมาจากรัฐยังมีการก่อหนี้ที่รัฐผลักภาระให้ไปอยู่ในระบบบัญชีของสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น ซึ่งเป็นบัญชีจำแลงที่ไม่นับรวมอยู่ในระบบภาระหนี้สาธารณะของประเทศ แต่รัฐบาลต้องเข้าไปรับภาระเมื่อสถาบันการเงินเหล่านั้นตกอยู่ในภาวะวิกฤติ
4. สุดท้าย เห็นว่าเฉพาะหน้า ก่อนจะเลือกตั้ง เพื่อแสดงความจริงใจกับประเทศ ไม่ได้ต้องการประมูลอำนาจรัฐผ่านการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน (ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง) ทุกพรรคการเมืองควรประกาศรายละเอียดของต้นทุน ค่าใช้จ่าย และผลกระทบเชิงนโยบายของแต่ละนโยบายหาเสียง เปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบอย่างชัดเจน
นโยบายเรื่องไหนจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด? จะได้ผลลัพธ์เป็นอะไร? ต้นทุนของนโยบายเป็นอย่างไร? จะเกิดผลกระทบต่อคนกลุ่มไหน อย่างไร? จะเอาเงินจากไหน? ฯลฯ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี