นับเป็นเวลาร่วม 18 ปีแล้ว ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เยอรมนีที่เรียกว่า ชานเซอร์เลอร์ (Chancellor) นั้น ถูกครอบครองโดยสุภาพสตรีที่ชื่อว่า นางอังเกลาแมร์เคิล (Angela Merkel) แห่งพรรคคริสเตียนเดโมแครต (CDU – Christian Democratic Union) ซึ่งทั้งเยอรมนี ยุโรปและทั่วโลกต่างยอมรับกันว่าเป็นหญิงเหล็ก ที่เข้มแข็ง เก่งกล้า เด็ดเดี่ยว ยึดมั่นในหลักการ ในเหตุผล และการมีความแน่วแน่ที่คิดอ่านทำการในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อเยอรมนี รวมถึงเพื่อองค์การร่วมมือภูมิภาคคือสหภาพยุโรป (European Union) นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) และหนังสือพิมพ์ระดับโลกอีกหลายฉบับก็ต่างยอมรับว่า นางแมร์เคิลนั้นเป็นยอดผู้นำและสตรีผู้มีอิทธิพลยิ่งต่อความเป็นไปของโลก
โดยที่ผ่านมา นางแมร์เคิล ได้สร้างเสริมความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยิ่งให้กับเยอรมนี จนส่งผลให้เยอรมนีมีฐานะเป็นผู้นำสหภาพยุโรปได้อย่างสง่างาม และเป็นสุ้มเสียงสำคัญในเวทีโลกต่างๆ ซึ่งการมีชั้นเชิงฝีมือการเมือง รวมทั้งความเด็ดเดี่ยว ไร้เทียมทาน ถือเป็นจุดเด่นของนางแมร์เคิล
แต่อย่างไรก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนอนิจจัง สภาพร่างกายก็หนึ่ง การตัดสินใจก็หนึ่ง ที่เมื่อเวลาผ่านไปกายก็สามารถทรุดโทรม สติปัญญาความนึกคิดและการตัดสินใจก็สามารถผิดพลาดกันได้
ปัญหาใหญ่ที่เกิดกับนางแมร์เคิล ก็คือการยืนหยัดกับหลักการที่ว่า เมื่อผู้ใดหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็ต้องเปิดประตูบ้านให้ด้วยหลักมนุษยธรรม รัฐบาลเยอรมันจึงตัดสินใจเปิดประเทศรับผู้อพยพลี้ภัยจากสงครามกลางเมืองซีเรีย ซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าว ได้นำไปสู่การตกต่ำของคะแนนนิยม และคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและท้องถิ่นของพรรคคริสเตียน เดโมแครต ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะคงรักษาคะแนนเสียงได้มากที่สุดเทียบกับพรรคคู่แข่งอื่นๆ ในสภาไว้ได้ แต่ก็ถือว่าได้เข้าสู่ภาวะคะแนนนิยมตกต่ำอย่างน่าใจหาย
และเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบความนิยมที่เสื่อมถอย นางแมร์เคิลเอง ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคคริสเตียน เดโมแครต แต่ยังจะคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปจนครบวาระคือ ในปี 2564
เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคคริสเตียน เดโมแครต ก็เลยจำเป็นจะต้องจัดการเลือกหัวหน้าพรรคกันใหม่ ซึ่งก็ได้มีผู้ลงสมัครแข่งขันกันจำนวน 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 โดยผู้สมัครสตรีคือ นาง Annegret Kramp-Karrenbauer เลขาธิการพรรค อดีตนายกรัฐมนตรีรัฐซาร์แลนด์ (Saarland)ส่วนคู่แข่งก็คือ นาย Friedrich Merz อดีตประธานบริหารพรรคและนักธุรกิจมหาเศรษฐี และนาย Jens Spahnรัฐมนตรีสาธารณสุขวัย 38 ปี ผู้ประกาศตัวว่าเป็นเกย์
ผลการเลือกหัวหน้าพรรครอบแรกนั้นไม่มีผู้ชนะขาด จึงต้องมีการแข่งรอบสองระหว่างอันดับ 1 และ 2 ได้แก่ นาง Karrenbauer กับ นาย Friedrich Merzซึ่งผลปรากฏว่าจากจำนวนผู้ร่วมลงคะแนน 999 เสียง นางKarrenbauer ได้ 517 และนาย Merz ได้ 482
ซึ่งก็หมายความว่า นาง Karrenbauer จะเป็นผู้นำพรรคคริสเตียน เดโมแครต ในสนามการเลือกตั้งใหญ่ในอีก 2 ปีข้างหน้า และมีโอกาสขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนต่อไป ต่อจากนางแมร์เคิล
หากเป็นจริง ก็จะเท่ากับว่า เยอรมนีนั้นจะมีผู้นำประเทศเป็นสตรีติดต่อกัน 2 คน และครองอำนาจติดต่อกันถึง 24 ปีเป็นอย่างน้อย
นอกจากนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่า นาง Karrenbauer เป็นเสมือนสาวก หรือเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีอย่างสูงยิ่งต่อนางแมร์เคิล และนางแมร์เคิลเองก็มีท่าทีสนับสนุนนาง Karrenbauer ให้เป็นผู้รับช่วงจากตนมาโดยตลอด ซึ่งทำให้มีการตั้งฉายาว่า นาง Karrenbauer นั้นคือ นางแมร์เคิลฉบับย่อ (Mini-Merkel) หรือเป็นนางแมร์เคิลภาค 2 หรือตัวโคลนนิ่ง (Merkel 2)
ทั้ง 2 ผู้นำสตรีวันนี้ก็มีอุดมการณ์ด้านอนุรักษ์นิยม แต่นาง Karrenbauer อาจดูจะเข้มข้นกว่าในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางเพศ และการทำแท้ง ด้วยว่านาง Karrenbauer นั้นเคร่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่ในด้านบุคลิกแล้ว นาง Karrenbauer ดูจะเข้ากับคนง่าย(หรือคนเข้าถึงได้ง่าย) กว่านางแมร์เคิล ซึ่งปกติมีบุคลิคค่อนข้างนิ่งเฉย ไม่ค่อยจะเป็นกันเอง หรือสนุกสนาน
นาง Karrenbauer มีภาพลักษณ์ว่าเป็นผู้ที่ใจเย็น มีสติ สมองปราดเปรื่องเฉียบแหลม มีตรรกะ หรือใช้เหตุผล ให้ความพินิจพิจารณาอย่างมีขั้นมีตอน และมีฝีไม้ลายมือในการทำงาน จัดการบริหาร ดังเห็นได้จากการเป็นผู้บริหารรัฐซาร์แลนด์ในฐานะนายกรัฐมนตรี แถมยังทำให้พรรค CDU มีชัยชนะในการเลือกตั้งในรัฐสภาของตนอย่างมั่นคงอีกด้วย
ก็เป็นที่น่ายินดีต่อเยอรมนีโดยรวม ที่มีโอกาสจะได้ผู้นำประเทศยุโรประดับโลกขึ้นมาอีกคน ที่กอปรด้วยความสามารถ มิได้ขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยการมีเส้นมีสาย หรือมาจากธุรกิจการเมือง
สิ่งเหล่านี้ เป็นการสะท้อนสังคมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของเยอรมนี ว่ามีคุณภาพสูงยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งดังกล่าวได้เกิดขึ้นในประเทศที่เมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว ยังตกอยู่ในระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ที่โหดร้ายที่สุดเผด็จการหนึ่ง
ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันนี้ ประชาธิปไตยของประเทศไทยเรานั้นยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ เนื่องมาจากการขาดความจริงใจในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ขึ้นมาครองอำนาจ ทั้งจากกระบวนการเลือกตั้ง หรือการยึดอำนาจ ต่างมักสาละวนวุ่นวายกับการรักษาอำนาจของตนให้ยืนยาว โดยมิได้ใช้อำนาจนั้นไปเพื่อประโยชน์สุขของสังคมไทยโดยรวมเป็นหลักอย่างที่ควรจะเป็น
ก็ได้แต่หวังว่า หลังจากการเปิดทางให้สังคมไทยกลับเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยครั้งนี้ เราชาวไทยจะได้ร่วมมือกันเป็นสังคม ประชาสังคมที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบ และคานอำนาจบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะควบคุมรัฐบาลให้มุ่งบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ไทยเราจะได้ก้าวหน้าทัดเทียมกับอาณาอารยประเทศเขาเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี