จากบทความเมื่ออาทิตย์ที่แล้วกล่าวถึงหลักของลัทธิสังคมนิยมปฏิรูปมีหลักที่สำคัญ คือ ไม่ใช้วิธีการให้สังคมแบ่งแยกระหว่างชนชั้น แต่ให้ชนชั้นในสังคมร่วมมือกัน นั้นหมายความว่าทางการเมืองใช้ระบบสังคมนิยมและใช้ระบบทุนนิยมในทางเศรษฐกิจ ซึ่งก่อให้เกิดรากฐานของ “นโยบายเฉลี่ยสุข” ผลทำให้สังคมนั้นไม่ “รวยกระจุกจนกระจาย” ดังสังคมไทยในปัจจุบัน
นโยบายสังคมนิยมประชาธิปไตยไม่นิยมวิธีการแจกเงินให้แก่คนยากจนอย่างเดียวแต่ต้องพัฒนาคนยากจนด้วยวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้พวกเขาพ้นจากความยากจนด้วยการช่วยเหลือพร้อมๆ ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้ด้วย ไม่ใช่แจกเงินแต่อย่างเดียวซึ่งตรงข้ามกับหลักสังคมนิยมประชาธิปไตย เพราะการแจกเงินแต่อย่างเดียวจะทำให้ผู้รับกลายเป็น “ขอทาน” ซึ่งคอยแบมือรับความช่วยเหลือตลอดเวลา ผลที่สุดคนจนดังกล่าวจะเป็นภาระของสังคมตลอดไป ซึ่งผู้ปกครองประเทศที่ใช้วิธีนี้จะทราบหรือไม่ หรือทราบแต่ต้องการสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองในระยะสั้น
จากทรัพยากรของประชาชนที่เสียภาษีมิใช่จากส่วนตัวของผู้มีอำนาจที่ปกครองประเทศในระบอบเผด็จการมาเป็นเวลากว่า 4 ปี และยังมีเจตนาที่จะปกครองประเทศต่อไปโดยพัฒนาจากการปกครองระบบเผด็จการสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยฟันปลอมอีกด้วย เพราะนโยบายดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าก็เพื่อหวังผลทางการเมืองระยะสั้นเป็นสำคัญ ผลทำให้ประชาชนที่ยากจนได้รับอานิสงส์ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่วิธีการนี้จะทำให้ผู้รับเคยตัวจึงต้องทำโดยไม่มีที่สิ้นสุด เพราะทำให้คนจนยังจนเหมือนเดิมต้องคอยแบมือขอรับความช่วยเหลือจากรัฐซึ่งตรงข้ามกับทฤษฎีสังคมนิยมประชาธิปไตยที่มีหลักการที่ว่า “ให้เบ็ดกับเหยื่อให้คนจนไปตกปลาเอง แต่วิธีการของรัฐบาลที่กระทำอยู่เป็นการแจกปลาให้คนจนกิน เมื่อกินปลาหมดก็คงยากจนเช่นเดิม”
ฉะนั้น วิธีการดังกล่าวจึงต่างกับคำพูดของนักการเมืองที่เป็นกูรูทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกล่าวว่า“จะทำให้คนยากจนหมดไปจากประเทศภายในสิ้นปีนี้” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นไปตามที่รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่กล่าวว่า ที่รัฐบาลทำแบบนี้เพราะประชาชนกำลังอดตาย จากคำพูดของนักการเมืองที่มีตำแหน่งใหญ่ทั้งสองคนกล่าวตรงกันข้าม ทำให้ผู้เขียนต้องไปศึกษาจากการสำรวจของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดังกล่าวทั้งของรัฐและสถาบันวิชาการไม่ว่ามหาวิทยาลัยหอการค้าและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม ที่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนสูงที่สุดในโลก โดยอ้างจากสถิติว่าคนไทยร้อยละหนึ่งของประชากรทั้งหมด มีทรัพย์นั้นเกือบร้อยละเจ็บสิบ ผลยืนยันว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ “รวยกระจุกจนกระจาย” มากที่สุดในโลก ฉะนั้นนโยบายการลดแลกแจกแถมที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ขณะนี้แทนที่จะทำให้คนจนลดลงแต่กลับไปซ้ำเติมมากยิ่งขึ้น เพราะเงินที่ได้รับแจกจะอยู่กับคนยากจนเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น และในที่สุดจะกลับไปสู่กระเป๋าคนรวย ผลทำให้คนยากจนจนยิ่งขึ้นและคนรวยกลับรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนชั้นกลางทั้งบนและล่างก็จนลงเนื่องจากค่าครองชีพกลับสูงขึ้นมากกว่ารายได้เนื่องจากผลกระทบจากนโยบาย“ลดแลกแจกแถม” ดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี