ผมได้ติดตามเส้นทางการเปิดประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียม เอราวัณ และแหล่งบงกช ที่ถือว่า เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ของประเทศมีกำลังการผลิตสูงถึง 2.1 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 76 ของกำลังการผลิตก๊าซในประเทศ มายาวนานโดยท่านผู้รู้ด้านพลังงาน สรุปข้อมูลให้เป็นระยะๆ
เรียกว่า ตลอดเส้นทางการเปิดสัมปทานรอบใหม่นี้เต็มไปด้วยอุปสรรค ยืดเยื้อต้องเลื่อนกำหนดการออกไปหลายครั้งเพราะมีหลายฝ่ายอยากจะเข้ามามีส่วนร่วม รวมทั้งความพยายามของเหล่า “นักร้อง” อยากจะเข้าไปมีบทบาท ด้วยการผลักดันให้มีการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
หลังจากรอคอยมานาน ในที่สุดคณะรัฐมนตรี ได้มติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 อนุมัติให้ บริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับบริษัท เอ็มพี จี2(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์เป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตแปลงเอราวัณ และบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์จำกัด เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในแปลงบงกช เท่ากับว่าปตท.สผ. สามารถคว้าสัมปทานเดิมในแหล่งบงกชไว้ได้ตามเดิม ขณะเดียวกันยังได้สิทธิ์สัมปทานในแหล่งเอราวัณ ที่เคยเป็น บริษัทเชฟรอน อีกด้วย
ประเด็นนี้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ให้เหตุผลว่า ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่
ดีเวลลอปเมนท์ ชนะสัมปทานแปลงเอราวัณ เพราะเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าคู่แข่งให้กับประเทศ ขณะที่แปลงบงกช ปตท.สผ. ก็ยังได้สิทธิ์เดิมอยู่
ทั้งนี้ ข้อเสนอที่ทำให้ชนะการประมูลนั้น อาทิ ในส่วนของแปลงเอราวัณ ปตท.สผ.เสนอราคาคงที่สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติที่ 116 ล้านบาทต่อล้านบีทียู จากปัจจุบันที่เชฟรอนคิด ในราคา 165 ล้านบาทต่อล้านบีทียู และแบ่งกำไรให้รัฐร้อยละ 68โดยขอรับส่วนแบ่งร้อยละ 32 เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเงินโบนัสลงนาม โบนัสการผลิต และผลประโยชน์พิเศษอื่นๆ รวมแล้วสูงถึง2,667 ล้านบาท และสัดส่วนการจ้างพนักงานไทยก็สูงตั้งแต่ปีแรกถึงร้อยละ 98
ส่วนแปลงบงกช เสนอราคาคงที่สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติที่ 116 ล้านบาทต่อล้านบีทียู เป็นราคาเดียวที่เสนอไว้ที่แปลงเอราวัณ โดยขอรับส่วนแบ่งร้อยละ 30 แบ่งกำไรให้รัฐร้อยละ 70เงินโบนัสลงนาม โบนัสการผลิต และผลประโยชน์พิเศษอื่นๆ รวม 3,717 ล้านบาท และใช้พนักงานคนไทยตั้งแต่ปีแรกร้อยละ 99
ราคาขายก๊าซธรรมชาติแปลงบงกชปัจจุบันตามสัญญาขาย 214 ล้านบาทต่อล้านบีทียูราคาเสนอประมูลใหม่ 116 ล้านบาทต่อล้านบีทียู ครั้งนี้ต่ำกว่าราคาซื้อขายปัจจุบันค่อนข้างมาก ส่งผลให้
การซื้อถูกลงตั้งแต่ปี 2565 ช่วยให้ราคาถูกลงในช่วง 10 ปีข้างหน้า 550,000 ล้านบาท หรือประหยัดลงทันทีปีละ 55,000 ล้านบาท สามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้หน่วยละ 29 สตางค์
นอกจากนี้ จากการที่ผู้ชนะการประมูลเสนอส่วนแบ่งให้รัฐสูงกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้ในช่วง 10 ปีข้างหน้า รัฐจะได้รับส่วนแบ่งรูปแบบค่าภาคหลวง การแบ่งปันผลผลิต เพิ่มขึ้นอีกถึง 100,000 ล้านบาท โดยรวมแล้วประโยชน์ที่ภาครัฐและสังคมได้รับจะสูงถึง 650,000 ล้านบาท
ส่วนควันหลงของการประมูลครั้งนี้ อาจจะมีเสียงรำพึงรำพันน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง ก็ต้องยอมรับ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเสียเวลากับเรื่องการเปิดประมูลครั้งนี้มานานมาก
นานจนเรียกได้ว่าเอาความมั่นคงทางด้านพลังงานไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทำให้คนไทยทั้งประเทศอยู่บนความเสี่ยงที่ก๊าซธรรมชาติจะขาดแคลน ไปจนถึงไฟดับ
เพราะเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าไม่พอ แต่ขณะเดียวกันความล่าช้าที่ผ่านมา ก็ทำให้กระบวนการคัดสรรเปิดประมูลได้รับการแก้ไขจนยอมรับจากกลุ่มคนที่เป็นกลางไม่มีอคติว่า เป็นการเปิดประมูลสัมปทานที่มีความโปร่งใสเป็นที่เชื่อถือได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ยังบอกต่อว่า สิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ไป คือ การผลิตก๊าซในช่วงรอยต่อให้มีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะแหล่งเอราวัณ ที่จะมีผู้รับสัมปทานรายใหม่เข้าไป ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้อาจจะมีข้อกังวลบ้าง แต่ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้าต่อไปเพราะความมั่นคงทางด้านพลังงานถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับการพัฒนาประเทศ ยิ่งไม่สามารถหยุดรอได้ เพราะประเทศชาติได้เวลาเดินหน้าแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี