เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีการจัดเสวนาเรื่อง จับตาเศรษฐกิจไทย 2562 : รวยกระจุก จนกระจาย? ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ซึ่งมีการพูดถึงในประเด็นผลกระทบของเทคโนโลยีต่อคนทำงานและข้อแนะนำในการปรับตัว ดังนั้น “ที่นี่แนวหน้า” สัปดาห์นี้ขอนำมุมมองจากวิทยากรในงานดังกล่าวมานำเสนอเป็นข้อคิดให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน
- ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ รองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : การพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ๆ เช่น ปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีจักรกลอัตโนมัติ (ออโตเมชั่น - Automation) ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบคือแรงงานที่ทำงานอยู่ ณ ปัจจุบัน เรื่องนี้แม้ภาคเอกชนจะมองเห็นแต่ก็ไม่มีกำลังเพียงพอจะช่วยให้แรงงานปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมในอนาคตได้
“การลงทุนด้านการศึกษาจะช่วยให้ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นลดลง อันนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องในระยะยาว ที่จำเป็นจะต้องจับตาดูว่าทำอย่างไรที่เราจะพัฒนาคนของเราให้สามารถที่จะเข้าไปสู่อุตสาหกรรมกลุ่มใหม่ เพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำตรงนี้ ในขณะเดียวกันเราจะพัฒนาเป็นออโตเมชั่น ภาคเอกชนก็คงต้องการคนกลุ่มนี้ไปทำงาน ฉะนั้นก็คงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนที่ต้องช่วยกันในส่วนนี้”
- พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย จำกัด : การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ออโตเมชั่น เป็นทางที่ภาคธุรกิจมองว่าจะนำไปสู่การแข่งขันได้ดีขึ้น คำถามคือหากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศโตขึ้น อาทิ จากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 5-6 จะทำให้ผู้ใช้แรงงานได้ส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อันหมายถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำจะลดลงได้อย่างไร?
“ประเด็นข่าวที่พูดกันว่าเทคโนโลยีมา หุ่นยนต์มาแล้วคนจะตกงาน จริงๆ มันมีอะไรให้คิดอีกเยอะ” เช่น งานวิจัยของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี - ADB) พบว่าเทคโนโลยีจะทำให้การว่างงานเพิ่มขึ้นบ้างเนื่องจากบางบริษัทอาจต้องปิดตัวไป เช่นเดียวกับแรงงานประเภททักษะน้อยรายได้อาจจะเพิ่มน้อยลง หรือสภาเศรษฐกิจโลก (เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม - World Economic Forum) เคยสุ่มถามบริษัทจำนวน 50 แห่ง บริษัทเหล่านั้นให้คำตอบว่าเทคโนโลยีจะส่งผลให้ต้องลดการจ้างงานแบบเต็มเวลา (Full Time) ภายในปี 2565
“คนวัย 20 - 40 ปี เป็นวัยที่ต้องคิดมากที่สุด” เพราะต้องอยู่ในตลาดแรงงานไปอีกอย่างน้อย 20 ปี เราจะต้องอยู่กับเรื่องเหล่านี้ เช่น เอไอ (AI - ปัญญาประดิษฐ์) เพราะฉะนั้นถ้าคิดตั้งแต่วันนี้ว่าเอไอจะทำให้เราตกงานก็คงไปต่อไม่ได้ ต้องคิดให้ลึกว่าแล้วจะอย่างไรกับมันดี? จะทำงานเหมือนเดิมหรือจะเรียนต่อ? หรือจะเปลี่ยนงาน? รวมถึงการวางแผนทางการเงินด้วย เพราะอย่างไรก็ตามเมื่อถึงอายุ 60 ปีก็ต้องเกษียณ หรือถึงยังทำงานก็ย่อมทำได้น้อยลง
“อีก 20 - 30 ปีข้างหน้า รายได้ของคนที่ทำงานเก่งสู้หุ่นยนต์ไม่ได้จะเติบโตน้อยลง ลองคิดดูเราเป็นคนพิมพ์ข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ อยู่มาวันหนึ่งมีออโตเมชั่นมาสแกนเข้าไปได้ไม่ต้องกรอก คนคนนั้นเงินเดือนต้องเติบโตน้อยลงแน่ๆ บริษัทอาจจะโยกไปทำงานอื่น แต่อาจเป็นงานที่ไม่ถนัด ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เรื่องของรายได้จึงสำคัญกว่าเรื่องจะตกหรือไม่ตกงาน ตกงานยังอาจได้ไปทำงานบริษัทอื่น แต่เข้าไปแล้วรายได้ก็อาจเติบโตน้อยลง”
เรื่องนี้จะกระทบเป็นลูกโซ่ เพราะมีงานวิจัยพบว่า “หากรายได้เติบโตลดลงร้อยละ 1 คนคนนั้นต้องออมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4 ของรายได้ตลอดช่วงอายุการทำงาน เพื่อให้มีรายได้ยามเกษียณเท่ากับที่เคยตั้งเป้าไว้แต่แรก” เช่น ปกติบริษัทอาจปรับเงินเดือนพนักงานร้อยละ 2 - 3 ต่อปี พอมีออโตเมชั่นเข้ามาอาจเหลือร้อยละ 1 ต่อปี พนักงานก็ต้องออมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ทุกเดือน ซึ่งยากมากเพราะฐานเงินเดือนคนไทยก็ไม่ได้สูงอยู่แล้ว
“และจะย้ายงานจากบริษัทใหญ่ๆ ที่เริ่มใช้ออโตเมชั่นก่อนไปบริษัทเล็กๆ ก็คงไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก” เพราะ 1.ฐานเงินเดือนบริษัทเล็กๆ ย่อมน้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ กับ 2.เมื่อถึงจุดหนึ่งบริษัทเล็กๆ ก็ต้องหันไปทำออโตเมชั่นอยู่ดี ดังนั้น “ถ้ายังอายุเพียง 20 เศษๆ และไม่มีภาระ การเรียนต่อถือว่าเหมาะสม” สมัยนี้มีหลักสูตรสั้นๆ 1 - 2 ปี สามารถเปลี่ยนแปลงผู้เรียนได้ ซึ่งการเรียนต่ออาจทำให้เปลี่ยนงานที่ทำได้เลย เช่น อาจทำให้การทำงานกรอกเอกสารที่เคยทำมา ยกระดับไปสู่งานเชิงวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลมากขึ้น รายได้และความมั่นคงก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องปรับการส่งเงินเพิ่มโดยอัตโนมัติเมื่อรายได้เพิ่ม” ซึ่งจะไม่เพิ่มเป็นภาระการใช้จ่ายส่วนบุคคลแต่อย่างใดเพราะสัดส่วนเงินที่เหลือหลังหักส่งกองทุนก็ยังเท่าเดิม รวมถึง “ประกันชีวิต” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพราะหลายคนออมเงินมาตลอดวัยทำงานแต่มาหมดตัวหลังเกษียณเพราะมีเหตุให้ต้องใช้เงินกะทันหัน ความมั่นคงทางการเงินนอกจากมีรายได้เพียงพอแล้วการลดรายจ่ายก็สำคัญไม่ต่างกัน
หรือแม้กระทั่งอาจต้องคิดไปถึงว่า “การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นทักษะที่ทุกคนต้องรู้” เพราะหากไปดูบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลาย สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือคนเหล่านี้เป็นเจ้าของธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งสิ้น หลายคนอาจมองว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่การออมแบบเดิมๆ เช่น ฝากธนาคารดอกเบี้ยก็ไม่สูงอยู่แล้ว ไม่มีทางพอสำหรับใช้จ่ายวัยเกษียณแน่นอน และผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์มันสูงกว่ามาก
“หลายคนอาจบอกว่าเสี่ยงหุ้นตก แต่นั่นเรื่องระยะสั้น เรากำลังพูดถึง 30 - 40 ปีข้างหน้า ถ้าไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดทุนเราก็ไม่มีวันตามทัน ฉะนั้นเรื่องออโตเมชั่นทำให้เราต้องคิดหลายๆ ด้าน ทั้งการวางแผนชีวิต จะเรียนหรือไม่เรียนต่อ จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนงาน รวมถึงการออมด้วย มันจะมีเรื่องของภาคการผลิตที่ผู้ประกอบการต้องไปดูว่าจะลงทุนอย่างไร รวมถึงเราที่เป็นลูกจ้างทั้งหลายจะต้องวางแผนตัวเองเช่นกัน”
- กนิษฐ เมืองกระจ่าง ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) : ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องความต้องการของลูกค้า (ดีมานด์ - Demand) เช่น สินค้าประเภทอาหารยังเป็นที่ต้องการของตลาด แต่กระบวนการระหว่างทางเปลี่ยนไป อาทิ มีงานรับจ้างส่งอาหารถึงบ้าน การชำระเงินผ่านออนไลน์ หรือการนำเครื่องจักรมาใช้ในโรงงาน แต่ก็ยังต้องการคนเขียนโปรแกรมและคนควบคุมให้เครื่องจักรทำงานอยู่ดี ฉะนั้นต้องยกระดับให้พนักงานสามารถควบคุมเครื่องจักรหรือวิเคราะห์ระบบอย่างง่ายได้
“คนยุคใหม่ความอดทนความใฝ่รู้น้อยลง ตอนนี้เราสื่อสารกันง่ายมาก แต่แทนที่จะเป็นเรื่องของวิชาความรู้ที่จะเสริมสร้างศักยภาพของตัวเราเอง กลับจะไปตามดาราคนนี้มีแฟนคนไหน หรืออะไรก็ตามแต่ คือไปเสียกับตรงนั้นเยอะ แล้วการใช้จ่ายน่าจะใช้เพื่อการหาความรู้ อย่างมีหลักสูตรระยะสั้นที่คนวัยเกษียณยังมาเรียนได้ ควรเป็นอย่างนั้นมากกว่าไปช็อบปิ้งวันนี้เสื้อใหม่อะไรออกมา ถ้าเราลงทุนในวิชาความรู้ให้เรามีความสามารถออกแบบ ดูแล ควบคุมออโตเมชั่น มันจะเพิ่มคุณค่าที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี