การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ขาวสะอาด โปร่งใส คือเครื่องยืนยันประการหนึ่งว่า ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งคือผู้มีเกียรติยศทางการเมือง แล้วยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ ไม่ขายสิทธิ์ขายเสียง มีความรับผิดชอบทางการเมือง และเป็นผู้มีเกียรติ
แต่สำหรับประเทศไทย อาจเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินกับการหานักการเมืองผู้มีเกียรติได้อย่างแท้จริง เนื่องจากเรามักจะพบเสมอๆ ว่า นักการเมืองไทยจำนวนไม่น้อยใช้กลโกงทุกชนิดเพื่อให้ตนเองชนะการเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องยากพอๆ กัน กับการหาประชาชนผู้รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง เพราะเราก็มักจะได้ยินประชาชนจำนวนไม่น้อย บอกแบบไม่อายว่านักการเมืองคนไหน หรือพรรคการเมืองใดให้เงินก็รับไว้ ไม่ต้องปฏิเสธ เพราะเงินมาจากไหนก็สามารถใช้ซื้อของได้เหมือนกัน
เมื่อนักการเมืองโกงการเลือกตั้งมาพบเจอกับประชาชนที่ไม่คัดค้าน ไม่ต่อต้านการโกงเลือกตั้ง ความวิบัติพินาศ และความโกลาหลจึงบังเกิดกับสังคมไทยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักจบ
จักสิ้น
วิญญูชนในสังคมไทยต่างรู้ดีว่าการตั้งพรรคการเมือง และการทำให้พรรคการเมืองชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายนั้น ผู้ชนะจำเป็นต้องมีเงินมากมายมหาศาลหลายพันหลายหมื่นล้านเป็นเครื่องมือ เพราะการดำเนินกลอุบายทางการเมืองต้องใช้เงินตราจำนวนมหาศาล ผสมกับการใช้อำนาจอีกสารพัดรูปแบบ ทั้งอำนาจฝ่ายดีและฝ่ายเลว แต่ส่วนมากมักจะเป็นอำนาจฝ่ายเลวเสียมากกว่า
อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลยที่มีการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลหลายพันหลายหมื่นล้านบาทเพื่อเอาชนะกันทางการเมืองแม้แต่ประเทศที่ยกตัวเองว่าเป็นประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างสุดขีด เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ยังหนีไม่พ้นการใช้เงินเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง แต่นอกจากเงินตราแล้ว ยังต้องให้เครดิตกับการทำงานทางการเมืองอย่างจริงจังของนักการเมืองอเมริกัน ซึ่งเรื่องเช่นนี้แตกต่างไปจากการเมืองของไทยค่อนข้างมาก เพราะเราพบเห็นเสมอๆ ว่านักการเมืองไทยหลายคนไม่เคยมีบทบาทและไม่เคยมีผลงานทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ก็ยังอุตส่าห์ชนะการเลือกตั้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ที่น่าสมเพชเวทนามากที่สุดก็คือประเทศไทยและคนไทย เราคนไทยเคยมีนักการเมืองที่ไม่เคยทำงานการเมืองอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อนเลย แต่กลับถูกดันขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีจนได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องบัดสีที่สุดที่เคยเกิดกับประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เราทุกคนได้พบได้เห็นมาแล้วว่า เมื่อวันเวลาแห่งความเลวร้ายได้บังเกิดกับประเทศไทย บ้านเมืองของเราจึงมีนายกรัฐมนตรีบางคนที่ไม่เคยทำงานการเมืองมาก่อนเลย แต่กลับทะยานขึ้นสู่เวทีแห่งอำนาจรัฐได้เพราะการรัฐประหาร
มีคำถามว่า ระหว่างนักการเมืองที่ไม่เคยทำงานการเมืองอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน กับทหารที่ไม่เคยทำงานการเมืองจริงๆ จังๆ มาก่อน แต่กลับได้ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรี คนสองคนนี้ใครจะบริหารประเทศได้เลวร้ายและล้มเหลวมากกว่ากัน คำตอบนี้ย่อมเป็นที่ทราบกันดีอยู่ในใจของคนไทยผู้ติดตามสภาวะการเมืองอย่างใกล้ชิด
ในยุคที่นักการเมืองยึดครองอำนาจรัฐ เราได้พบว่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนักการเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นคนในก๊ก ในแก๊งของพวกเขาทั้งนั้น ครั้นพอถึงยุคทหารครองอำนาจรัฐ ก็ปรากฏอีกว่าคณะรัฐมนตรีก็จะเต็มไปด้วยทหารหรือตำรวจ รวมถึงพลเรือนผู้ซึ่งปราศจากความสามารถในการบริหารกิจการของกระทรวงต่างๆ ที่พวกเขาถูกยัดเข้าไปเป็นรัฐมนตรี
มีข้อสังเกตประการหนึ่งคือ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองโกงชาติ หรือคณะรัฐประหารที่อ้างว่าเข้ามาปราบคนโกง ก็ต้องอาศัยนักกฎหมายจำพวก “กลับกลอก” และ “น้ำกลิ้งบนใบบอน” เป็นเครื่องมือในการร่างกฎหมายให้รัฐบาลของตนตลอดเวลา ซึ่งก็ปรากฏว่านักกฎหมายจำพวกกลับกลอกเหล่านั้นสามารถรับใช้ได้ทั้งนักการเมืองโกงชาติและผู้ก่อรัฐประหารได้เป็นอย่างดี
ส่วนกลุ่มคนที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยล้มหายตายจาก หรือสูญสลายไปจากแผ่นดินไทยคือ แก๊งนักธุรกิจระดับชาติและระดับข้ามชาติ จำนวนไม่กี่ตระกูล ซึ่งแก๊งนักธุรกิจเหล่านี้ล้วนยินดีทุ่มเศษเงินสนับสนุนให้ใครก็ตามที่สามารถยึดกุมอำนาจรัฐไว้ได้ เราได้เห็นมาตลอดว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะมา หรือจะไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลดีหรือเลว แต่แก๊งนักธุรกิจเหล่านั้นก็ยังคงแทรกตัวเข้าไปอาศัยอำนาจรัฐเพื่อหนุนส่งให้ธุรกิจของตนดำเนินต่อไป และขยายตัวได้อย่างไม่มีข้อจำกัด แม้แก๊งธุรกิจเหล่านั้นจะอ้างว่าตนเองไม่ได้ผูกขาดธุรกิจหรือกิจการใดบนแผ่นดินนี้ก็ตาม แต่ในข้อเท็จจริงก็เป็นที่ประจักษ์ว่าแก๊งนักธุรกิจเหล่านั้นคือผู้ครอบครองทรัพย์สินและทรัพยากรสำคัญจำนวนมากมายมหาศาลของแผ่นดินไทยไว้ในกำมืออย่างผิดปกติ อาจกล่าวได้ว่าแม้เขาจะไม่ได้ผูกขาดกิจการก็จริง แต่เขามีอำนาจผูกขาดทางธุรกิจและทางการเงินค่อนข้างเบ็ดเสร็จ จนดูเสมือนว่ามีอิทธิพลเหนือรัฐบาลด้วยซ้ำไป
เมื่อยามประเทศไทยมีรัฐบาลที่อวดอ้างตัวว่ามาจากการเลือกตั้ง เราได้พบว่าแก๊งนักธุรกิจหน้าเดิมๆ เข้าไปมีอิทธิพัวพันกับผู้มีอำนาจรัฐ แต่ครั้นในยามที่ประเทศไทยมีรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร เราก็ยังพบอีกว่าแก๊งนักธุรกิจแก๊งเดิมก็ยังสามารถเอาตัวเข้าไปผูกพันพัวพันกับรัฐบาลรัฐประหารได้แน่นแฟ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าในยามที่บ้านเมืองมีรัฐบาลซึ่งมาจากการโกงการเลือกตั้ง แก๊งนักธุรกิจก็มีอิทธิเหนือรัฐบาลที่เป็นนักเลือกตั้ง แต่พอถึงยุคที่มีรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร แก๊งนักธุรกิจก็ยังคงมีอิทธิพลเหนือนักรัฐประหารอีก
ขอย้อนกลับไปที่ประเด็นการทุจริตการเลือกตั้ง หรือการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งของสังคมไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่นักการเมืองผู้มีอำนาจรัฐพยายามปฏิเสธมาโดยตลอด แม้ทหารที่ก่อรัฐประหารจะเคยแสดงอาการรังเกียจการทุจริตเลือกตั้งมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อวันหนึ่งซึ่งพวกผู้ก่อรัฐประหารต้องการจะยื้อยุดอำนาจรัฐไว้ในกำมือของตน โดยจำเป็นต้องลงสู่สนามการเลือกตั้ง ก็กลับกลายว่าผู้ก่อรัฐประหารดูเสมือนจะไม่ปฏิเสธการทุจริตเลือกตั้ง เพราะเห็นว่าเป็นเครื่องช่วยให้ตนเองชนะการเลือกตั้งได้
เราต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยมีปัญหาวิกฤติคือการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง รวมถึงปัญหาจากการใช้อำนาจรัฐเพื่อโกงการเลือกตั้งมาโดยตลอด ไม่ว่าประเทศไทยจะมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือไม่ก็ตาม ถ้าหาก กกต. ไม่โกหกตัวเองจนเกินไปก็จะต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงมาจนกระทั่งทุกวันนี้
แต่ที่ตลกจนเข้าข่ายอุบาทว์ก็คือในบางยุคบางสมัยกกต.กลับกลายเป็นผู้ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจรัฐ กกต. กลายเป็นลูกไล่หรือเป็นขี้ข้าของผู้มีอำนาจรัฐ ผู้มีอำนาจรัฐที่ลุแก่อำนาจ และไร้ธรรมาภิบาลจึงใช้ กกต. เป็นเครื่องมือในการโกงเลือกตั้งหรือไม่ก็ใช้ กกต. เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งรังแกพรรคการเมืองที่เป็นศัตรูทางการเมืองกับผู้มีอำนาจรัฐ จนทำให้สังคมเกิดคำถามว่ายังจำเป็นต้องมี กกต. ต่อไปอีกหรือไม่ ดังนั้น สังคมจึงมีคำถามตลอดเวลาว่า กกต. คือองค์กรที่มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และมีประสิทธิภาพในการดูแลการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม จริงหรือ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ต้องประหลาดใจที่ กกต.ถูกสังคมตั้งคำถามในเชิงปรามาสมาโดยตลอด
สาธารณชนได้ประจักษ์มานานแล้วว่า ผู้สมรู้ร่วมคิดในขบวนการฉ้อฉลบนเวทีของผู้มีอำนาจรัฐในสังคมไทยประกอบไปด้วย นักการเมืองจอมโกง ทหารผู้ก่อรัฐประหารเพื่อหวังได้อำนาจรัฐ แก๊งนักธุรกิจระดับชาติและระดับข้ามชาติ ข้าราชการที่ยอมเป็นทาสของผู้มีอำนาจรัฐ และกกต. รวมถึงประชาชนที่ยอมเข้าร่วมขบวนการโกงการเลือกตั้งด้วยการขายสิทธิ์แลกกับเงิน
เราทุกคนได้เห็นตัวแสดงในขบวนการร่วมทำลายชาติของเราเป็นอย่างดีมานานแล้ว แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ทำไมจึงไม่มีคนไทยรายใดสามารถโค้นล้างทำลายตัวแสดงร่วมในขบวนการทำลายชาติบ้านเมืองของเราได้ หรือว่าเราก็คือส่วนหนึ่งของตัวแสดงในขบวนการดังกล่าวด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี