เพจชื่อ “ประชาชน ไซเบอร์” ซึ่งมีเนื้อหาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐ ได้หยิบยกความเห็นหนึ่งของคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ขึ้นมาโพสต์เป็น “กระทู้หลัก” มีเนื้อหาว่า
“...สำหรับนายอภิสิทธิ์ ณ เวลานี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความกระสันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี จนยอมขายหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน อุดมการณ์ ประชาชน หรือความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง (การโกงเลือกหัวหน้าพรรค ที่แม้แต่สื่อมวลชนก็รู้เช่นเห็นจริง)
ขณะนี้ขายได้แม้กระทั่งวิญญาณของตัวเอง (ให้กับพรรคเพื่อไทย) เพียงเพื่อ “ผมขอเป็นนายก”...”
นี่เป็นตัวอย่างของการใช้สื่อออนไลน์ในทางเลวทราม ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องกำหนดมาตรการที่เฉียบขาด เข้าจัดการและคุ้มครองการกล่าวหาและทำลายความน่าเชื่อถือแบบนี้
นอกเหนือจากกฎหมายปกติที่มี ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาท และการนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
เรามี “อันธพาลไซเบอร์” มี “กองโจรไซเบอร์” และ “อาชญากรไซเบอร์” เยอะขึ้นทุกทีๆ จงใช้เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษา แล้วมาช่วยกันสร้าง “พื้นที่สะอาด” สู่การแข่งขัน ในการ
เลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงกันดีกว่า
ในกรณีนี้ เราเห็น “ความระยำ” วิธีคิด และการบิดเบือนอะไรบ้าง ในกระบวนการ “ปั้นข้อมูลเท็จ” ผ่าน “นามแฝง” ที่เห็นเจตนาชัดเจนว่า หลบเลี่ยงความรับผิดชอบขั้นต้น คือ การเปิดเผยตัวตน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อทุกข้อความที่ผ่านเข้ามาใช้พื้นที่ในเพจของตน
1) ความกระสันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ไม่ต้องอ้างว่าไม่ได้ใส่นามสกุล) มีสิทธิโดยชอบที่จะ “กระสัน” ครับ เขาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นพรรคที่ยืนหยัดในระบอบประชาธิปไตยมา 72 ปี มีวัฒนธรรมองค์กรที่ “ให้เกียรติ” คนเป็นหัวหน้าพรรค ดังนั้นในการกำหนดชื่อคนเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องใส่ชื่อนายอภิสิทธิ์ให้เป็นนายกฯ อยู่แล้ว
หากติดตามการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์อย่างจริงจัง นายอภิสิทธิ์แทบไม่เคยสมมุติตัวเลยว่า ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมจะอย่างนั้น ผมจะอย่างนี้ นายอภิสิทธิ์มักใช้คำว่า “เรา” ซึ่งหมายถึง
“พรรคประชาธิปัตย์” เพราะการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ ทำงานเป็น “หมู่คณะ” ไม่ใช่ “วันแมนโชว์” เสมอมา นายอภิสิทธิ์จึงเสนอตัวในนาม “เรา” และย้ำอยู่เสมอทุกครั้งที่มีคนถามว่า จะร่วมกับฝ่ายไหนตั้งรัฐบาลว่า “...ให้ประชาชนเขาเลือกก่อน...” กิริยาอาการอย่างนี้ ไม่อาจเรียกว่า “กระสัน” ได้เลย
สุจริตชนพึงต้องเคารพ ว่าคนเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง คนที่พรรคการเมืองเขายกให้เป็นผู้นำ แม้บางพรรคจะมีหัวหน้าพรรคธุรการไว้รองรับการถูกยุบพรรค แล้วไปยกประธานยุทธศาสตร์พรรคเป็นว่าที่นายกฯ แทน พวกเขามีทั้ง “สิทธิ” ที่จะประกาศเสนอตนเป็นนายกฯ และเป็น “หน้าที่” ของเขา ที่จะต้องแสดงภาวะผู้นำว่า ในการแข่งขันครั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดคือ เป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็เห็นทำอย่างนี้กันทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก
เราจึงไม่อาจก้าวล่วงว่า นายอภิสิทธิ์, คุณหญิงสุดารัตน์, นายอนุทิน ชาญวีรกูล เจ๊หนูนา หรือใครก็ตาม “กระสัน” อยากเป็นนายกฯ เราในฐานะ “ผู้เลือก” ต่างหาก ที่ควร “กระสัน” ว่าอยากเห็นใครเป็นนายกฯ แล้วช่วยกันสนับสนุนให้พรรคนั้นๆ ได้ตัวแทนเยอะๆ เหมือนที่เพจดังกล่าวนี้ “กระสัน” จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ โดยมีพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลนั่นแหละ
2) เราควรมีท่าทีอย่างไร เมื่อเรามี “คนที่รัก พรรคที่ชอบ”
เราควรเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ เป็นเครือข่าย ในการสร้างความรู้ความเข้าใจ และความรู้สึกเชิงบวกให้แก่พรรคที่เราสนับสนุน ผ่านการชื่นชมตัวบุคคล ผลงาน นโยบาย เพื่อจูงใจให้เกิดแนวร่วมเพิ่มขึ้น มากกว่าเน้นการ “ทำลาย” คู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้ามของคนหรือพรรคที่ตนสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ความเท็จ
3) ใครคือ “เพื่อน” ที่นายอภิสิทธิ์ขาย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ? นายสุเทพประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมืองด้วยตัวท่านเอง และไม่ย้อนกลับมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีก แต่เลือกที่จะไปสนับสนุนพรรครวมพลังประชาชาติไทย แม้ในทางปฏิบัติ ดูท่านเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคนี้โดยแท้ คนอื่นเหมือนทีมงานของท่านล้วนๆ ก็ตาม นายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรค/หัวหน้าองค์กร ก็มีหน้าที่ต้องนำพาองค์กรไปแข่งขัน แม้กระทั่งกับ “เพื่อน” จะให้ฮั้วกันหรือ กฎหมายไม่อนุญาตนะครับ ในสังคมประชาธิปไตย การแข่งขันคือหัวใจสำคัญประการหนึ่ง ในสนามแข่งขัน นักกีฬาคนนี้สู้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งกับเพื่อน เขาเลวมากเชียวหรือครับ
หากจะเอากรณี ให้รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ตั้งกรรมการ “ตรวจสอบข้อเท็จจริง” กรณี นายถาวร เสนเนียม เปิดบ้านให้นายสุเทพ และคนของพรรครวมพลังประชาชาติไทย เข้าไปใช้พื้นที่ค้างคืน มาเป็นเรื่อง ก็พึงใช้สติปัญญาสักหน่อยว่า โทษภัยของการ “ฮั้ว” กันระหว่างพรรคการเมือง อาจไปถึงขั้น “ยุบพรรค” ได้นะครับ ในฐานะ “หัวหน้าพรรค” ได้ทราบข่าวว่า สมาชิกพรรคระดับอาวุโส เปิดบ้านให้อีกพรรคหนึ่งมารับสมัครสมาชิก มาปราศรัย แถมปราศรัยโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีหัวหน้าพรรค ว่าโกงการหยั่งเสียง และโจมตีว่าที่ผู้สมัครในจังหวัดเดียวกันกับเจ้าของบ้าน คนไหนควรจะเป็น “เพื่อนเลว” มากกว่ากันล่ะครับ พึงจะต้องให้ไต่สวนข้อเท็จจริง เพื่อปกป้องพรรคจากข้อหา “ฮั้ว” กับพรรคอื่นไหมล่ะครับ
ความเป็นเพื่อนนั้น เป็นกันเสมอไป แต่ความเป็นหัวหน้า ที่มีพันธกิจต้องรักษาองค์กรให้สุจริต ถูกกฎหมาย สง่างาม ก็ต้องเป็นให้ดีที่สุด จึงจะนับเป็นหัวหน้าที่ดี ถ้ามัวแต่เห็นแก่เพื่อน แล้วข้ามกฎเกณฑ์กติกา ควรหรือครับ ที่เราจะยอมรับนับถือ ก็เหมือนกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไงครับ ที่ “ความเสื่อมมาเยือน” เพราะท่านเห็นแก่เพื่อน แก่พี่ แก่น้อง ไม่ใช่หรือครับ
บัดนี้ เรื่องหลานชายใช้ที่อยู่ บ้านพักในค่ายทหาร จดทะเบียนบริษัท รับงานจากกองทัพ ผลสรุปคืออะไร มีใครได้ทราบไหมครับ การทำงานในหลายกระทรวง ที่ใช้ “มิตรสหาย” หรือ
“ความเป็นทหาร” ก่อนความสามารถ ผลลัพธ์เป็นอย่างไรครับ? ผลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ผ่านมา ก่อนจะถึงคณะทำงานชุดปัจจุบัน เป็นอย่างไรครับ? ผู้นำที่ดีจึงไม่ใช่ผู้นำที่
“เห็นแก่เพื่อน” แต่ต้องรู้จัก “ใช้คนให้ถูกกับงาน” และ “คุมคนให้อยู่ในกฎในเกณฑ์”
4) อะไรคือ “อุดมการณ์” ที่คุณกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ขาย
นายอภิสิทธิ์ยืนหยัดหลักการและอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย คนพวกคุณไม่ใช่หรือ ไปสร้างวาทกรรมว่าเขา “เจ้าหลักการ-ดีแต่พูด” เมื่อบอกว่า พรรคการเมืองต้องเป็นประชาธิปไตย เป็นของประชาชน นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ “ดีแต่พูด” แต่สั่งให้ทำ ให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของประเทศไทยที่ให้สมาชิกพรรค ทั้งที่ยืนยันสมาชิกภาพ และที่ถูกเงื่อนไขของ คสช. ตัดสิทธิ์พวกเขาไป ได้มา “เลือก” หัวหน้าพรรคด้วยตนเอง
เป็นนายอภิสิทธิ์ที่บอกว่า รัฐธรรมนูญมีปัญหา แต่ไม่ประกาศฉีกรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องแรก บอกว่าให้ใช้ไปก่อน เพราะปัญหาของประชาชนที่ทุกข์ร้อน มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งแก้ก่อนแก้รัฐธรรมนูญ ระหว่างที่ใช้ มาตราใดที่ก่อปัญหา ก็จะเกิดสถานการณ์ที่ชอบธรรมที่จะนำไปสู่การแก้ไขได้ นี่คือคนขายอุดมการณ์?
เป็นนายอภิสิทธิ์ที่บอกว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมาคุยกันว่าใครจะตั้งรัฐบาล เพราะควรเคารพการตัดสินใจของประชาชน ให้ประชาชนเขาเลือกให้เสร็จเสียก่อน พรรคการเมืองค่อยมาคุยกันในเวลานั้น คือ หลังรู้คะแนนการเลือกตั้งแล้ว ว่าฉันทามติของประชาชนชี้ไปทางไหน จากนั้นให้ดำเนินการ “ตั้งรัฐบาล” ไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แบบไหนได้ พรรคไหนได้ ก็ว่ากัน
เป็นนายอภิสิทธิ์ที่บอกว่า สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมาจากการเลือกของ คสช. กรุณาให้เกียรติตัวแทนที่ประชาชนเขาเลือกมาก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเลือกหรือสกัดคนหนึ่งคนใด พรรคหนึ่งพรรคใด จนเมื่อฝ่ายผู้แทนเขาเลือกกันไม่ได้แล้ว ค่อยให้ สว.เข้ามามีส่วนดำเนินการผลักดันสู่กระบวนการถัดไป ตามที่กฎหมายกำหนด จะดีกว่า
เป็นนายอภิสิทธิ์ที่บอกว่า คุณไปบีบหรือปิดกั้นทางเลือกของประชาชนให้เลือกแค่ “เผด็จการ” หรือ ขี้โกง “ทักษิณ” หรือ“ทหาร” ทำไม เขาไม่ยอมจำนนใน “วาระแฝงทางการเมือง” ที่ว่านั้น เขาเสนอว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอเป็น “ทางเลือกหนึ่งของประชาชน” เป็น “ทางเลือกหลัก” ไม่ใช่เอาแต่ถามว่าจะไปรวมกับฝ่ายไหน ขั้นไหน ข้างไหน การยืนหยัดเป็นพรรคมา 72 ปี ก็สมควรไหมที่ เขาจะประกาศเป็นหนึ่งทางเลือก ซึ่งประกาศแล้ว คนจะเลือกหรือไม่เลือกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาจึงขอพาประชาชนคนเลือก ออกจากความเกลียด กับความกลัว จะไม่เข้าคูหา กาเลือกคนที่เอาไว้รบกับข้างที่ตนเองเกลียดหรือกลัวว่าจะเข้ามามีอำนาจ จนหลงลืมกันไปหมดว่า “ปัญหาของประชาชน” ต้องมีคนแก้ ต้องได้รับการแก้ไข ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์มีศัตรูเดียว คือ ปัญหาของประชาชนกับประเทศชาติ เขามุ่งแก้ปัญหาและสร้างเสริมโอกาสดีๆ ให้เกิดขึ้น
ที่กล่าวมาจึงเป็นคำตอบของคำกล่าวหาที่ว่า อภิสิทธิ์ขายประชาชนไปด้วยในตัว
5) ล่าสุด นายอภิสิทธิ์เพิ่งเป็นตัวแทนพรรค ประกาศนโยบาย “ยกระดับความเป็นอยู่” ประกันรายได้คนไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต่อเนื่องจาก 10 นโยบายการศึกษา “ยกระดับคุณภาพเด็กไทย” ที่ได้เรียกเสียงฮือฮากับการเน้นหลักสังคมสวัสดิการดูแลประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของสิ่งที่จะทำ อาทิ
1. โครงการโฉนดสีฟ้า
- โฉนดชุมชน จัดการตนเอง เพื่อที่อยู่ ที่ทำกิน ออก พ.ร.บ. โฉนดชุมชน เพื่อให้สิทธิ์ในการจัดการตนเองไปยังชุมชนอย่างแท้จริง
- ยกระดับ ส.ป.ก. กู้ได้ ขยายโอกาสเกษตรกร ให้ที่ดิน ส.ป.ก. สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของรัฐ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเกษตรกรรม และสามารถสืบทอดตกถึงลูกหลานได้
- เดินหน้า “ธนาคารที่ดิน” เพิ่มที่ทำกินให้คนไทย เพื่อการจัดสรรและเพิ่มการกระจายตัวของที่ดินให้ครอบคลุม ความต้องการของประชาชน
- เร่งออก “โฉนดทันใจ” สะสางโฉนดที่ดินที่ค้างท่อมานาน เร่งรัดทำให้โฉนดให้ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ส.ค.1 น.ส.3 และเอกสิทธิต่างๆ ที่ชอบด้วยกฎหมายให้เสร็จ
2. น้ำถึงทุกไร่นา จัดตั้ง “กองทุนน้ำชุมชน” เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี มีเงินทำแหล่งน้ำทุกหมู่บ้าน รัฐมีงบและผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ชาวบ้านสามารถจัดการแหล่งน้ำด้วยตนเอง
3. ประกันรายได้เกษตรกร มุ่งเน้นที่ตัวเงินในกระเป๋าเกษตรกรเป็นหลัก ไม่แทรกแซงกลไกตลาด ไม่ทำการประกันราคาสินค้า และไม่ทำจำนำที่สูงกว่าราคาตลาด โดยจะครอบคลุมพืชทุกชนิด สร้างความมั่นคงของรายได้ให้เกษตรกรไทยทุกคน มีหลักประกันรายได้ขั้นต่ำในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเมล็ด ยางพารา ปาล์ม รวมไปถึงการทำประกันภัยพืชผล ให้เงินคุ้มครองความเสียหายผลผลิตจากภัยธรรมชาติ เพื่อคุ้มครองต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
4. ประกันรายได้แรงงาน เป้าหมายค่าแรงของคนไทย ต้องไม่ต่ำกว่า 120,000 บาท/ปี รัฐจ่ายส่วนต่าง ลดภาระผู้ประกอบการ
5. เบี้ยผู้ยากไร้ 800 บาท/เดือน โอนตรงสู่บัญชีเงินอุดหนุนให้แก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาท/ปี โดยทุกคนต้องเข้าระบบรายงานสถานะทางการเงินของตนเองทุกปี
6. เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท/เดือน โอนตรงสู่บัญชีผู้สูงอายุ รับ 1,000 บาท เพื่อดูแลค่าครองชีพและจุนเจือชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเกษียณ
แทนการ “ก่นด่า” ปรักปรำ “ตัวบุคคล” หันมาพิจารณานโยบาย ถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่โอกาสและประโยชน์ของประชาชนกันดีกว่าไหม
หยุดความสกปรกในใจ ไม่เทหรือทาลงบนโลกไซเบอร์
สร้างพื้นที่สะอาด สู่การเลือกตั้งสะอาด และบ้านเมืองที่สงบหลังจากนั้นกันดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี