พื้นที่แห่งการลงโทษหรือที่เรียกว่า “เรือนจำ” เป็นพื้นที่ที่มีคนจำนวนมากเกินกว่าที่เรือนจำกรมทัณฑสถานจะรองรับเกิดข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากร สาธารณูปโภค และบริการด้านสุขภาพอนามัย ไม่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี
โจทย์ใหญ่!คือจะทำอย่างไรให้เรือนจำ กลายเป็นสถานที่สุขอนามัยที่ดี เพื่อเป็นพื้นที่เสริมสร้างพลังบวกให้ผู้ต้องขัง นำไปสู่การมีโอกาสฟื้นฟูชีวิตในสถานที่แห่งนี้ได้
ล่าสุด สมาคมวิจัยประชากรและสังคม สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการเชิงนโยบายเรื่อง “การเดินทางของเรือนจำสุขภาวะ” ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เพื่อนำมาสู่การขยายผล โดยเน้นการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐาน ระบบสุขภาพบูรณาการ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตเพื่อกลับมายืนหยัดในสังคมได้ โดยภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศกาล
น.ส.กุลภา วจนสาระ นักวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า สถานการณ์การเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในเรือนจำ 143 แห่ง ทั่วประเทศ พบว่าในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตราว 1,000 คน จากอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น วัณโรค เอดส์ และโรคหลอดเลือดหัวใจ สอดคล้องกับจากการดำเนินโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการและส่งเสริมสุขภาพในเรือนจำ เรื่อง การให้บริการสุขภาพผู้ต้องขัง : สถานการณ์ปัญหาและอุปสรรค ในเรือนจำพื้นที่ศึกษา 8 แห่ง เพื่อสำรวจสถานะสุขภาพและปัญหาอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ต้องขังอันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ และการศึกษาสถานการณ์การให้บริการสุขภาพผู้ต้องขังในเรือนจำทัณฑสถาน พบว่า ผู้ต้องขังส่วนใหญ่เป็นคนด้อยโอกาส 2 ใน 3 หรือ ร้อยละ 35 จบการศึกษาภาคบังคับหรือระดับประถม 3 ใน 4 อยู่ในวัยแรงงาน มีอายุเฉลี่ย 35 ปี
“สำหรับพฤติกรรมสุขภาพพบว่า ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ ร้อยละ 58 สูบบุหรี่เป็นประจำ นิยมซื้อกาแฟ นมเปรี้ยว และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเป็นประจำ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้กินผักผลไม้ ด้านการออกกำลังกายพบว่า 1 ใน 3 ออกกำลังกายเป็นประจำ 1-2 วัน ต่อสัปดาห์ ใช้เวลา 10-20 นาทีต่อครั้ง และอีกที่ 1 ใน 3 ไม่ค่อยออกกำลังกาย ด้านปัญหาสุขภาพพบว่า ในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมาผู้ต้องขังร้อยละ 82 เคยเจ็บป่วยไม่สบายและได้รับยาจากแพทย์หรือสถานพยาบาล ผู้ต้องขัง 3 ใน 4 มีปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เนื่องจากสภาพแวดล้อมการอยู่อย่างแออัดในพื้นที่คับแคบ กว่าครึ่งยังเป็นโรคผิวหนัง หิด ผื่นคัน ร้อยละ 44 มีอาการปวดหัวบ่อยๆ เครียด คิดมาก ผู้หญิงเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากกว่าผู้ชาย
นอกจากนี้ พบภาวะความเจ็บป่วยซึ่งสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตในเรือนจำที่เห็นได้ชัด คือ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือผู้ต้องขังป่วยเป็นโรคแขนขาอ่อนแรงค่อนข้างสูง เนื่องจากภาวะทุพโภชนาการ ขาดวิตามิน B1 และ โปตัสเซียม
ด้าน รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นายกสมาคมนักวิจัยประชากรและสังคม เปิดเผยถึงการศึกษาเรื่อง “สาธารณสุขมูลฐาน (สมฐ.) พื้นฐานสุขภาวะผู้ต้องขังหญิง” ในเรือนจำทั่วประเทศ พบว่า เรือนจำส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติสาธารณสุขมูลฐานได้ค่อนข้างดีทั้ง 13 ด้าน โดยเฉพาะการให้ความรู้เรื่องสุขภาพโภชนาการ สุขาภิบาล การกำจัดขยะและสิ่งปฏิกูล อย่างไรก็ตาม ควรพัฒนาระบบสาธารณสุขมูลฐาน เพราะฐานคิดของ สมฐ. คือ การปฏิรูประบบสุขภาพเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระดับ การพัฒนาระบบ สมฐ.ในเรือนจำซึ่งเป็นชุมชนปิด จึงเป็นทั้งจุดเริ่มต้น และแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนไปสู่สุขภาวะของผู้ต้องขัง ที่เหมาะสมกับการทำงานเชิงชุมชนแบบองค์รวม เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะการประสานงานข้ามหน่วยงาน การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และการส่งเสริมสุขภาพดีไม่ใช่ซ่อมสุขภาพ
ซึ่งทั้งหมดเป็นรากฐานสำคัญของการขับเคลื่อนสู่เรือนจำสุขภาวะ ที่ต้องผลักดันให้เกิดนโยบายและมาตรการในระดับต่างๆ ที่ปฏิบัติให้เป็นจริงได้ ทั้งโภชนาการ การเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง
ขณะที่ นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะสสส.ชี้ว่า สสส.ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนให้เกิด “เรือนจำสุขภาวะ” ในสังคมไทย ได้สนับสนุนให้มีการวิจัยเชิงนโยบายและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ต่อเนื่องหลายโครงการ ตั้งแต่ปี 2555 โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม แนวคิดเรือนจำสุขภาวะมาจากการหลอมรวมความรู้ที่ได้จากการวิจัยเชิงนโยบายและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น คือนวัตกรรมที่ก่อให้เกิด “ความรู้ที่มาจากการปฏิบัติ” ผลการดำเนินงานตลอด 7 ปี แสดงให้เห็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนเรือนจำให้เป็นพื้นที่ซึ่งผู้ต้องขังสามารถมีประสบการณ์ในทางบวก ทั้งในส่วนของการดูแลสภาวะแวดล้อมและดูแลตนเองให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ เกิดเป็นนวัตกรรมแนวคิดการพัฒนาเรือนจำสุขภาวะ ภายใต้องค์ประกอบ 7 ด้าน ได้แก่ 1.เพิ่มความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ต้องขัง 2.ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคที่พบบ่อยในเรือนจำ 3.เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการบริการสุขภาพ 4.ผู้ต้องขังมีพลังชีวิตคิดบวกและมีกำลังใจ 5.ดำรงชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรและเอื้ออาทร 6.สามารถธำรงบทบาทของการเป็นแม่ เป็นลูก หรือเป็นสมาชิกในครอบครัว และ 7.มีโอกาสสร้างที่ยืนในสังคม
“หลักการสำคัญของเรือนจำสุขภาวะคือ กระบวนการฟื้นฟูผู้ต้องขัง ควรบูรณาการเข้าไปในวิถีการดำรงชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง โดยสร้าง “สภาวะปกติ” ให้กับเรือนจำ หมายความว่าสภาวะแวดล้อมทั้งทางกายภาพ วิถีการดำรงชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ต้องขัง ความสัมพันธ์กับโลกภายนอก โดยให้ความสำคัญกับการทำให้ชีวิตในเรือนจำแตกต่างจากชีวิตในสังคมทั่วไปให้น้อยที่สุด ทำให้ผู้พ้นโทษไม่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการคืนกลับสู่สังคมอีก” นางภรณี กล่าวทิ้งท้าย
ครับก็เป็นข้อมูลในการสัมมนาเกี่ยวกับเรือนจำ ที่ผมย่อๆ มาให้อ่านกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี