เพียงแค่รัฐบาลของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ออกกฎหมายขึ้นภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงยานยนต์ (ซึ่งเป็นการสานต่อเรื่องที่รัฐบาลชุดก่อนได้ริเริ่มไว้) ก็เกิดการประท้วงทันควันทันที เริ่มจากกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนนไม่กี่สิบคน ก่อนจะลามผ่าน Social Media กลายเป็นกระแสใหญ่โตไปยังชาวฝรั่งเศส ส่งผลให้เกิดการประท้วงตามเมืองใหญ่ๆ ของฝรั่งเศสแทบทุกเมือง โดยนัดหมายให้ทุกคนสวมเสื้อกั๊กสีเหลืองใบตองอ่อน (ที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถทุกคนต้องมีติดรถยนต์ไว้ เพื่อใช้ในกรณีอุบัติเหตุ) ออกมาชุมนุมใหญ่ทั่วไปทุกวันเสาร์ ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับ และสนับสนุนอย่างล้นหลามจากประชาชนชาวฝรั่งเศสทั้งประเทศ สามารถดูได้จากจำนวนผู้คนที่ออกมาแสดงพลังนับแสนคน บานปลายจนเป็นการบล็อกถนนหนทาง และทำลายอาคาร สถานที่และสิ่งของ ส่งผลให้มีเกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันกับฝ่ายตำรวจ ที่รัฐบาลระดมมาถึง 4 – 5หมื่นนาย เพื่อควบคุมฝูงชนและสถานการณ์ นอกจากนั้นยังต้องสั่งให้ฝ่ายกองทัพเตรียมการสำรองไว้อีกด้วย
ผลก็คือ มีผู้เสียชีวิตหลายสิบ มีผู้บาดเจ็บเป็นร้อย และยังมีผู้ถูกจับกุมอีกเป็นพัน เศรษฐกิจประเทศถดถอยจากการขาดรายได้หลักทางด้านการท่องเที่ยว ประเทศฝรั่งเศสเสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท จนทำให้รัฐบาลต้องยอมถอย ด้วยการประกาศยกเลิกการเพิ่มภาษีน้ำมัน
เชื้อเพลิง (ซึ่งมีเป้าหมายในการเป็นทุนเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังหมุนเวียน) แถมยังสำทับด้วยการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกเดือนละ 100 ยูโร โดยหวังว่าจะช่วยลดอุณหภูมิการประท้วงลงจนยุติในไม่ช้า แต่การประท้วงก็ยังมีอยู่ต่อไป แม้จะประปรายและอ่อนตัวลง เพราะความพิโรธโกรธแค้นต่อฝ่ายปกครองบ้านเมือง ซึ่งทับถมมานานนมก็ยังคาใจกันอยู่
เราชาวไทย และชาวโลก ต่างก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมหนอ เรื่องขึ้นภาษีน้ำมัน ที่เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว เหตุใดจึงลามปามไปกันได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะกับประเทศฝรั่งเศสที่มีเศรษฐกิจใหญ่โตระดับ 5 ประเทศแรกของโลก รวมถึงเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เหตุใดถึงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ อีกทั้งชาวฝรั่งเศสก็มิได้ยากจนข้นแค้น ระดับความเป็นอยู่โดยทั่วไปก็ถือว่าสูงส่งกว่าประเทศอื่น คนทั่วโลกต่างก็อยากไปเที่ยวฝรั่งเศสสักครั้งในชีวิต อยากบริโภคของกินของใช้จากฝรั่งเศสเพราะเชื่อกันว่าคุณภาพเป็นเลิศ อีกทั้งวิถีชีวิตประจำวันแบบฝรั่งเศส ก็ยังเป็นที่หมายปอง “อยากเหมือน” จากชาวโลก นอกจากนั้น อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ ของฝรั่งเศส ก็อยู่ในระดับที่จะแข่งขันกับประเทศใดๆ ก็ได้
แต่ที่คนฝรั่งเศสถึงระเบิดความรุนแรงออกมาด้วยชนวนภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ก็คงเพราะที่ผ่านมา เขาดำรงชีวิตอย่างไม่มีความสุข แฝงไว้ด้วยความไม่พึงพอใจกับชีวิต จนทำให้ไม่อยากจะรับฟังเหตุผลใดๆ จากรัฐบาลอีกแล้ว สำหรับมาตรการใดๆ ที่บีบคั้นเพิ่มขึ้นมา ก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายทั้งสิ้น
ก็มีการวิเคราะห์วิจัย มีการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยวงการวิชาการ และวงการสื่อต่างๆ ทั่วโลกเกี่ยวกับที่ไปที่มา หรือปฐมเหตุของการประท้วง และคัดค้านต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดีมาครง ซึ่งพอจะจับความ ประมวลความได้ว่า มีหลายสาเหตุร่วมกัน ได้แก่
- ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้บริหารงานอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ไม่ได้รู้ประเด็นปัญหาที่แท้จริงของสังคมและคนฝรั่งเศส
- ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะตัวประธานาธิบดีมาครง ใช้เวลามากไปกับเรื่องการต่างประเทศ โดยมุ่งสร้างภาพลักษณ์ให้ฝรั่งเศสในเวทีโลก และความโดดเด่นของตัวประธานาธิบดีเอง แทนที่จะสนใจแก้ไขปัญหาในบ้านของตนเองให้มากกว่าและจริงจัง
- ฝ่ายรัฐบาล ดำเนินการแบบคิดเองเออเอง ตัดสินใจเอง (เพราะมีเสียงข้างมากสุดในรัฐสภา) ไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการพูดจา เปิดเวที หรือเปิดหูเปิดตารับฟังข้อคิดเห็น ความต้องการ และความเดือดร้อนจากประชาชนพลเมือง
- มาตรการที่ออกมา ค่อนข้างอำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจและผู้มีอันจะกิน ในขณะเดียวกัน กลับเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนธรรมดาๆ โดยทั่วไป เสมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ และเอาใจต่อชนชั้นนำ และกลุ่มธุรกิจ
- ความรู้สึกว่ามีความเหลื่อมล้ำมากขึ้นๆ และช่องว่างระหว่างผู้มีอันจะกินกับประชาชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศห่างยิ่งขึ้น
- รายรับรายจ่ายไม่สมดุล ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่เงินเดือนเงินดาวน์คงที่ หรือลดน้อยลงด้วยอัตราเงินเฟ้อ
- สภาพชีวิตที่ปรากฏประจำวันของชาวฝรั่งเศสก็คือ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องย้ายออกไปพำนักในเขตชานเมืองซึ่งดูด้อยและอุดอู้ อยู่ไกลจากที่ทำงานใจกลางเมือง ซึ่งโดยทั่วไปดูหรูหรา อีกทั้งต้นทุนการเดินทางยังมาถูกเพิ่มเติมจากการจะขึ้นภาษีน้ำมัน ย่อมส่งผลกระทบซ้ำสอง
- ความรู้สึกว่า สภาพความไม่แน่นอน การงานไม่มั่นคง งานที่มีของชาวฝรั่งเศสมักเป็นงานชั่วคราวมากขึ้น หนึ่งคนต้องทำหลายๆ งานชั่วคราว เพียงเพื่อให้มีรายรับคุ้มค่าใช้จ่าย คุณภาพชีวิตก็ลดระดับลงเรื่อยๆ
- ปัญหาการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพลี้ภัย และปัญหาผู้อพยพลี้ภัยและแรงงานต่างด้าวรุ่นเก่านี้ ยังไม่สามารถปรับตัวของวิถีชีวิตให้เข้ากับสังคมฝรั่งเศสทั่วไปได้ ก็ให้เกิดความรู้สึกว่า ต้องแบกภาระ (ผ่านทางภาษี) ต้องแย่งงานกันทำ หรือแม้กระทั่งเป็นที่มาของความหัวรุนแรงและการใช้ความรุนแรง
เรื่องต่างๆ เหล่านี้ระอุอยู่ในหัวจิตหัวใจของคนฝรั่งเศสมาสักระยะหนึ่ง ก่อนจะระเบิดออกมา เพื่อสะท้อนความรู้สึกให้รัฐบาลได้รับรู้ว่า เขารู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกลิดรอนอนาคต ก็นำไปสู่พลังต่อต้าน เป็นประเด็นการเมือง ซึ่งถึงเวลาแล้ว ที่ฝ่ายรัฐบาลต้องตระหนัก คิดทบทวน แก้ไข อย่างทันที
ปัญหาการประท้วงรุนแรง ในวิกฤติของฝรั่งเศสครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นผลที่ตามมาจากการบริหารประเทศแบบเหินห่างระหว่างฝ่ายการเมืองกับประชาชน ซึ่งน่าจะได้ถูกใช้เป็นบทเรียนให้กับรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ดำเนินนโยบายตามใจตน โดยไม่ได้มองลึกลงไปถึงใจประชาชนของตนว่าเขาต้องการสิ่งใด หรือเดือดร้อนขนาดไหน
ต้องอย่าลืมว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้น อำนาจที่แท้จริงนั้นเป็นของปวงชน และมอบมาให้กับฝ่ายการเมืองใช้เพียงชั่วคราว โดยจะต้องใช้เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม เมื่อใดที่รัฐบาลนำไปใช้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือนายทุนแล้ว เมื่อประชาชนทนไม่ไหว เขาก็จะลุกขึ้นมาทวงอำนาจนั้นคืน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งผลมักจะลงเอยด้วยความรุนแรงที่ทำให้ประเทศบอบช้ำอยู่เสมอ แต่เมื่อฝ่ายการเมือง หรือรัฐบาลหัดฟังประชาชนเป็น ไม่ได้ทำตนว่าเป็นผู้รู้ดี การมีส่วนร่วมเกิดขึ้นจริงจัง สังคมก็ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น มั่นคง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี