เข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่า - ต้อนรับปีใหม่ทีไร “อุบัติเหตุบนท้องถนน” เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงขึ้นมาทันที “7 วันอันตราย” เป็นคำที่คนไทยคุ้นหูกันมายาวนาน ซึ่งแม้ผู้คิดคำดังกล่าวมุ่งหวังเตือนสติผู้ใช้รถใช้ถนนให้เกิดความระมัดระวัง แต่ดูแล้วไม่ค่อยมีผลมากนัก โดยสถิติ 7 วันอันตรายส่งท้ายปีเก่า 2560 - ต้อนรับปีใหม่ 2561 มีผู้สังเวยชีวิตให้กับถนนเมืองไทยไปทั้งสิ้น 423 ศพ ยังไม่นับสถิติตลอดทั้งปีที่คาดว่าน่าจะอยู่ที่หลักหมื่นศพเฉกเช่นเคย
ที่งานการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 11 นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวในเวทีเสวนา “การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน” ว่าแม้อัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนของไทยจะลดลงจากอันดับ 2 มาอยู่ในอันดับ 9
ของโลก โดยลดลงจาก ร้อยละ 36.2 ต่อ 1 แสนประชากร เหลือร้อยละ 34 ต่อ 1 แสนประชากร แต่การที่ยังติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกก็ถือเป็นเรื่องน่าห่วงอยู่ดี
โดยเฉพาะ “สถิติอัตราการเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลก” อีกทั้ง “อัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนยังเป็นเด็กและวัยทำงาน” ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อมูลใบมรณบัตร พบว่า “เด็กไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ปีละ 2,510 ศพ หรือวันละ 7 ศพ” ทั้งนี้ปัญหาอุบัติเหตุทางท้องถนนเป็นปัญหาระดับชาติมาเป็นเวลานาน มีนโยบายระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาหลากหลายนโยบาย ที่มีการรณรงค์จากภาคต่างๆ อย่างมาก
อาทิ ปีแห่งการสวมหมวกกันน็อก ตลอดจนมีการจัดตั้งศูนย์ความปลอดภัยทางท้องถนน และได้เข้าสู่มติสมัชชาชาติมาตั้งแต่ปี 2552 มีการแก้ปัญหามาแล้วหลายวิธี แต่กลับพบว่า “ท้องถิ่นยังขาดองค์ความรู้” ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าต้องอาศัยการแก้ปัญหาตั้งแต่ระดับพื้นที่ และให้บทบาทกับท้องถิ่นมากขึ้น เนื่องจากตามสถิติ พบว่า “อุบัติเหตุเกิดในถนนเส้นรองมากกว่าถนนสายหลัก” และส่วนใหญ่เกิดกับมอเตอร์ไซค์
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยสำนักโพลล์แห่งหนึ่ง พบว่า “10 อันดับของเรื่องที่ประชาชนอยากให้พรรคการเมืองเข้ามาแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน อันดับ 1 คือต้องจัดการอย่างเด็ดขาดกับพฤติกรรมอันตราย” ได้แก่ ย้อนศร ฝ่าไฟแดง ชนแล้วหนี “รองลงมาคือคุณภาพชีวิตของคนเดินถนน” มีการจัดการเรื่องทางเท้าที่ปลอดภัย “อันดับ 3 รถสาธารณะ” ต้องสะดวกและปลอดภัย “อันดับ 4 ถนนปลอดภัย” มีระบบตรวจสอบความปลอดภัย ลดจุดเสี่ยงซ้ำซาก เช่น จุดที่เรียกกันว่า “โค้งร้อยศพ” เป็นต้น
“อันดับ 5 ยกเลิกสินบนนำจับ” นำเงินค่าปรับเป็นกองทุนเพื่อจัดหาอุปกรณ์ และจัดตั้งศาลจราจรขึ้นมา “อันดับ 6 รถจักรยานยนต์ต้องได้รับสิทธิการเดินทางที่ปลอดภัย” เช่น มีเลนสำหรับมอเตอร์ไซค์ “อันดับ 7 อุบัติเหตุที่มีคนเสียชีวิต” จะต้องมีการตรวจแอลกอฮอล์อย่างเท่าเทียม “อันดับ 8 รัฐบาลมีการประเมินงาน” รายงานต่อสาธารณะ และสภาผู้แทนราษฎร “อันดับ 9 รถรับส่งนักเรียนฟรี” กำหนดให้เป็นสิทธิพื้นฐานเรื่องความปลอดภัย และ “อันดับ 10 เพิ่มความคุ่มครองเยียวยา” ถ้าเสียชีวิตประกันจะต้องจ่ายชดเชยผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
ภายในเวทีเสวนาครั้งนี้มีพรรคการเมืองสนใจส่งตัวแทนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวน 3 พรรค ได้แก่ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้อุบัติเหตุลดลงได้ ซึ่งทางพรรคนั้นมองเป็นเรื่องๆ ได้แก่ 1.การสร้างวินัยจราจร ทำให้เกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย และต้องมีหลักสูตร “วินัยคนขับขี่” ให้กับเด็กและเยาวชน อันเป็นกลุ่มที่สำคัญเป็นอย่างมาก
2.การทำให้ถนนสะดวก ปลอดภัย เช่น การตีเส้นจราจร ลักษณะทางโค้ง ความลาดเอียง การติดป้ายเตือนก่อนจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และไฟส่องสว่างอย่างชัดเจน 3.กฎหมายจะต้องเข้มงวดมากขึ้น ได้แก่ การออกใบขับขี่ จะต้องดูปัญหาสุขภาพด้วย 4.การกำหนดมาตรการจะต้องทำทั้งปี ไม่ใช่แค่เทศกาล และ 5.ต้องมีงบประมาณสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นจะประสบความสำเร็จยาก
นพ.คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า 3 ฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน ได้แก่ 1.ภาคการเมือง เรื่องนโยบายต้องจริงจังในการแก้ปัญหา 2.ภาควิชาการ จะต้องมีข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา และ 3.ภาคชุมชน จะต้องมีส่วนร่วมในการทำงาน มีการปรับพฤติกรรมด้านการจราจร ถนนต้องออกแบบเพื่อช่วยปรับพฤติกรรมให้กับผู้ขับขี่ให้ตระหนักถึงความปลอดภัย เช่น “ตีเส้นขาวบนถนนให้แคบขึ้น” ผู้ขับขี่จะคิดว่าขับมาด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ พบว่าสามารถลดอุบัติเหตุได้ถึงร้อยละ 36 มีผลพิสูจน์มาแล้วที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา
และ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ จากพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้เพิ่มเติมคือ 1.การจ่ายค่าปรับ ควรนำเข้ากองทุนพัฒนาการใช้ถนนอย่างเหมาะสม 2.ผลักดันเรื่องคะแนนใบขับขี่ เนื่องจากคนเรามีความสามารถในการจ่ายค่าปรับที่ต่างกัน ถ้าเป็นคะแนนใบขับขี่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน 3.เปลี่ยนพฤติกรรมให้หันมาใช้ขนส่งสาธารณะ เนื่องจากการเพิ่มถนนเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด 4.กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ซึ่งท้องถิ่นจะมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมาก และ 5.แก้ปัญหาการแข่งรถบนถนนสาธารณะ ต้องมีกฎหมายที่เข้มงวดมากกว่าปัจจุบัน
ขณะที่ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนถือเป็นภัยที่คุกคามชีวิตของประชาชนคนไทยถึงกว่า 3 หมื่นคนต่อปี ถือเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ เพราะนอกจากการสูญเสียชีวิตแล้วยังทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยต้องเสียไปด้วย ที่ผ่านมา สช. เคยมีมติในเรื่องนี้อยู่แล้วรวมถึงได้มีการขับเคลื่อนไปแล้วพอสมควร แต่ก็ยังไม่ได้ผล จึงอยากฟังนโยบายในภาคการเมืองซึ่งก็ได้รักการตอบรับเป็นอย่างดี
“เราได้รับฟังแนวคิดในเรื่องการแก้ไขจากนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีข้อเสนอน่าสนใจหลายๆ แนวคิด ซึ่งต่อไปเราก็อยากจะเห็นถึงความร่วมมือกันระหว่างภาคการเมืองกับสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นการเมืองภาคพลเมืองผนึกกำลังกันแก้ปัญหาด้านอุบัติเหตุบนท้องถนนซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้จุดแข็งของเราอยู่ที่ภาควิชาการทำให้เรามีข้อมูลในการแก้ปัญหามากมาย” เลขาธิการ สช. กล่าว
สำหรับช่วงส่งท้ายปีเก่า 2561 - ต้อนรับปีใหม่ 2562 อาจมีความพิเศษกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากตรงกับช่วงเวลาที่รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปลดล็อกให้พรรคการเมืองต่างๆ นำเสนอนโยบายแก่ประชาชนสำหรับประกอบการตัดสินใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2562 ดังนั้นก็หวังว่าแต่ละพรรคจะนำเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนไปจัดทำนโยบายที่ปฏิบัติได้ผลเป็นรูปธรรม และเมื่อได้เป็นรัฐบาลก็นำนโยบายไปใช้อย่างจริงจังตามที่ได้หาเสียงไว้
เพื่อให้สถานการณ์ “เจ็บ - พิการ - ตาย” เป็นใบไม้ร่วงของคนไทย..ทุเลาเบาบางลงเสียที!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี