ก่อนอื่นผมขอส่งความสุขส่งท้ายปี พ.ศ. 2561 แด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ประสบแต่ความสุข สมปรารถนา มีพลังและมีสติในการทำงานและดำเนินชีวิต เพราะปีต่อไปยังคงมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอย่างมากมาย ด้วยกระแสของความผันผวนของปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และสังคม โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าซึ่งยังคลุมเครืออยู่เพราะผู้นำอย่างโดนัลด์ทรัมป์ เป็นผู้นำที่เราคาดคะเนได้ยาก เพราะสิ่งที่เขาคิดและทำส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นมากนักเห็นได้ว่าปีที่แล้วมีความผันผวนทางเศรษฐกิจมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ผมขอให้คนไทยใช้ศาสตร์พระราชาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพราะจะเป็นหลักให้เราผ่านพ้นอุปสรรคและพัฒนาให้ก้าวหน้าได้อย่างดี โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเน้นให้เรามีคุณธรรม จริยธรรม มีความใฝ่รู้ ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง ความมีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี
บทความในสัปดาห์นี้ ผมได้เชิญ ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค แนวร่วมของผมที่ทำงานร่วมกันตลอดมากว่า 10 ปี และได้เห็นแนวทางของ Chira Way ผมชื่นชมที่ท่านเป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ด้านคน เป็นคนที่เปิดกว้างและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ล่าสุดท่านและทีม Chira Academy ได้ทำงานร่วมกันหลายเรื่องเพื่อเชื่อมต่อความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ คือ ไทยกับอินเดีย
ผมรู้จักประเทศอินเดียเป็นอย่างดี เพราะเคยนำอาจารย์ด้านวิศวกรรมจากประเทศอินเดียมาสอนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลในประเทศไทยหลายแห่ง และวันนี้ความร่วมมือระหว่างไทยกับอินเดียมีโอกาสขยายไปในมิติต่างๆ ทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ทั้งในเรื่องการศึกษา วิชาการ การท่องเที่ยว การจับคู่ธุรกิจ การลงทุน และอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนั้น ด้วยความมีประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกันมานานด้วยความศรัทธาและการยกย่องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ผม ทีม Chira Academy และท่านอาจารย์ ดร.เกริกเกียรติมีโครงการที่จะทำงานร่วมกันอีกหลายโครงการ เป็นการนำแนวคิดของ Chira Way มาผสมผสานกับประสบการณ์และงานของท่านด้วย อย่างเช่น โครงการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาและบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อวางรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจต่างๆ ในเชิงลึก จะเป็นการพลิกโฉมงานด้านที่ปรึกษาของคนไทยที่เน้นการพัฒนาให้เกิดความสำเร็จ ไม่ใช่ “ขึ้นหิ้ง” เหมือนส่วนใหญ่ที่เคยเห็นมาในอดีต และคงมีบทเรียนดีๆ จากงานของพวกเรามาแบ่งปันให้แก่ท่านผู้อ่านได้ต่อไป
ต้องขอบพระคุณท่าน ศาสตราจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่ได้ให้โอกาสผมได้มาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับท่านอาจารย์สักประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา งานนั้นเกี่ยวกับการวางระบบการพัฒนาทุนมนุษย์ในบริษัทผลิต และจำหน่ายยาของคนไทย และได้ร่วมงานกับท่านอาจารย์อีกหลายโครงการ เช่น การพัฒนาทุนมนุษย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมไปถึงหลายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการวางรากฐานการพัฒนาทุนมนุษย์ตามแนวทาง Chira Way
ผมขอเพิ่มเติมข้อมูลอีกสักเล็กน้อยก่อนกล่าวถึงการพัฒนาทุนมนุษย์ในอินเดีย ผมได้มีโอกาสร่วมทำธุรกิจด้านการศึกษา การพัฒนาทุนมนุษย์ และ Green Business กับพาร์ทเนอร์ ในประเทศไทยและเอเชียใต้ และที่สำคัญต้องขอเอ่ยนามอีกท่านคือ คุณชญาณิศา คานิยอร์ เป็น CEO ของบริษัทในไทยและอินเดีย ได้มีโอกาสคุยกับทั้งท่านอาจารย์จีระและผม ว่าเราควรจะสร้างและพัฒนาเครือข่ายการพัฒนาทุนมนุษย์ระหว่างเอเชียใต้ โดยเฉพาะอินเดียและไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่เกื้อกูลและยั่งยืนแบบ win-win
ผมขอกล่าวถึงกรณีศึกษาบางส่วนในการพัฒนาทุนมนุษย์ประเทศอินเดีย ที่ได้สัมผัสและเห็นว่าการศึกษาและการพัฒนาคนมีความน่าสนใจซึ่งอาจจะเป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศไทยได้ เราไม่ปฏิเสธเลยว่าประเทศอินเดียมีชื่อเสียงว่าเป็นประเทศที่ส่งออกด้านเทคโนโลยีระดับโลก เช่น เมืองบังกาลอร์ หรือ เบงกาลูรู รัฐกรณาฏกะ อยู่ทางอินเดียใต้ที่ได้รับการขนานนามว่า ลิตเติ้ลซิลิคอนวัลเล่ย์ เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วย สถาบันการศึกษา ไอทีพาร์ค และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ คำถามที่น่าสนใจคือทำไมการศึกษาของอินเดียจึงก้าวหน้าและพัฒนาคนไปในระดับโลก ถ้าย้อนรอยประวัติศาสตร์อินเดียสักเล็กน้อย จะพบว่าการศึกษาในอินเดียมีบทบาทต่อการปลูกฝังคนอินเดีย ให้มีความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของมนุษย์ อาจจะเป็นเพราะว่าอินเดียต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก จึงเป็นรากฐานปรัชญาการศึกษาในอินเดียที่จะทำอย่างไรอินเดียจึงจะสามารถพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาประเทศ ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงเป็นประเทศหนึ่งที่มีเครือข่ายการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีสถาบันที่ติดอันดับโลก Top 50, Top 100, Top 200
กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ นักศึกษาที่เรียนในระดับ ประกาศนียบัตรชั้นสูง ปริญญาตรี หรือสูงกว่าต้องแสวงหาโอกาสในการฝึกงานต่างประเทศสักครั้งหนึ่ง อย่างน้อยสัก 1 ประเทศ ตัวอย่าง นักศึกษาที่เรียนสาขาการโรงแรม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมาฝึกงานที่เรียกว่า International Internship Program อย่างน้อย 6-9 เดือน โดยที่นักศึกษาต้องมาเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา วัฒนธรรม และกฎหมายอย่างน้อย 1-4 เดือน ในประเทศที่จะฝึกงานก่อนกับสถาบันการศึกษาในประเทศนั้น จึงจะสามารถฝึกงาน International Internship Program ผมได้มีโอกาสทำงานเป็น International Placement และได้ถามนักศึกษาหลายๆ คนว่าทำไมต้องมาฝึกงานต่างประเทศ คำตอบที่นักศึกษาทุกคนตอบเหมือนกันคือต้องการมีประสบการณ์ต่างประเทศทั้งในด้านระบบงาน ภาษา วัฒนธรรม และเพื่อนใหม่ๆ รวมไปถึงการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ใช่เฉพาะสาขาการโรงแรมเท่านั้นทุกสาขาวิชาที่นักศึกษาก็แสวงหาโอกาสในการฝึกงานต่างประเทศเช่นเดียวกัน
มองอินเดียแล้วมองไทยจะพบว่าระบบการพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทยโดยเฉพาะระบบการศึกษาที่มักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่าเด็กที่จบมาไม่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการหรือสาขาตรงความต้องการแต่เข้ามาแล้วทำงานไม่ได้ ถ้าเราลองใช้อินเดียเป็นกรณีศึกษาและปรับใช้ให้เหมาะสม มุ่งเน้นการให้เด็กไทยไปฝึกงานต่างประเทศมากขึ้น จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถหาได้ในห้องเรียน รวมไปถึงทำให้เด็กไทยสามารถสร้างและพัฒนาเครือข่ายระดับนานาชาติมากขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นสถาบันการศึกษาก็จะต้องปรับตัวและทำงานเชิงรุกมากขึ้นโดยการสร้างเครือข่ายการฝึกงานในระดับนานาชาติ ในความคิดเห็นผมเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถไม่แพ้ชาติใด เพียงแต่ระบบการพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย เป็นระบบในศตวรรษที่ 20 ที่ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่เป็นดิจิทัลที่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็วเราพร้อมเปลี่ยนแปลงหรือยัง
ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี