ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่สำคัญมาก
เพราะถ้าบุคคลในองค์กรของรัฐที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส. สว. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง ถูกกล่าวหาในเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบ ละเว้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือร่ำรวยผิดปกติ ก็จะต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ไต่สวน
หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด บุคคลดังกล่าวก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะพิจารณาถึงที่สุด และหาก ป.ป.ช.ตัดสินว่าผิดวินัย ก็ถือว่าเป็นที่สุดตามคำตัดสิน
ป.ป.ช.จึงจำเป็นต้องเป็นองค์กรที่อิสระ มีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าเชื่อถือ ซึ่งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็คงจะรู้และเข้าใจดี เพราะในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ เมื่อพลเอกประวิตรออกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. ยังได้เข้าสมัครเป็น ป.ป.ช. ขณะนั้นผมเป็นสมาชิกวุฒิสภา เป็นกรรมาธิการตรวจสอบประวัติและกระบวนการสรรหา เคยถามท่านว่า “ทำไมท่านอยากเป็น ป.ป.ช. และหากได้เป็นท่านตั้งใจจะทำอะไร?”
หวังว่าท่านจำคำตอบของท่านได้ และคงจำได้ว่าทำไมท่านจึงได้ถอนตัวจากผู้สมัครที่ได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการสรรหา 1 ใน 18 คน ในนาทีสุดท้าย
เรื่องนาฬิกาหรู 25 เรือน มูลค่าเรือนละนับสิบล้านบาท ที่พลเอกประวิตรไม่ได้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และอ้างว่าขอยืมจากเพื่อนที่เสียชีวิตแล้ว
ป.ป.ช.ใช้เวลาสอบนานเกือบปี มีมติ 5:3 เชื่อว่ายืมจากเพื่อนจริง ทั้งๆ ที่ นาฬิกา 18 เรือน ไม่ปรากฏเอกสารการซื้อขาย ว่านายปัฐวาทเป็นเจ้าของ แต่ ป.ป.ช.ได้สันนิษฐาน โดยอ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ว่า ผู้ยึดทรัพย์ไว้เป็นการยึดเพื่อตน จึงสันนิษฐานว่านายปัฐวาทเป็นเจ้าของ
แต่ยังมีนาฬิกาที่พลเอกประวิตรเคยใช้อีก 1 เรือน ไม่พบตัวเรือน ไม่พบใบรับประกัน ไม่พบรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับนาฬิกา ป.ป.ช.ก็กรุณาอธิบายว่าน่าจะเป็นของนายปัฐวาทด้วย และได้ให้พลเอกประวิตรยืมใช้
การวินิจฉัยด้วยการลงมติของ ป.ป.ช. 5:3 ก่อให้เกิดความห่วงใยองค์กร ป.ป.ช. ดังต่อไปนี้
1. กฎหมายของ ป.ป.ช. ได้กำหนดภาระการพิสูจน์ว่าการแจงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินครบถ้วนหรือไม่ เป็นภาระของผู้แจงบัญชีทรัพย์สิน ใช่หรือไม่?
ป.ป.ช.มีหน้าที่สันนิษฐานว่า หากเจ้าของชี้แจงแสดงหลักฐานให้กระจ่างไม่ได้ ก็ต้องถือว่าจงใจแสดงทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ใช่หรือไม่?
แล้วในครั้งนี้ นาฬิกา 18 เรือน ที่ไม่มีหลักฐานการซื้อขาย โดยเฉพาะ 1 เรือนที่หาไม่พบทั้งตัวเรือน ไม่พบใบรับประกัน ไม่มีเจ้าของชัดเจน ทำไม ป.ป.ช.จึงสันนิษฐานในมุมของผู้ถูกกล่าวหาและสรุปว่านาฬิกาทั้งหมดยืมเพื่อนมา
หากจะคิด หรืออ้างว่า 1 เรือนเท่านั้น ก็ไม่น่าจะอ้างได้ เพราะ 1 เรือน ก็มีมูลค่ามหาศาล เกินจำนวนมูลค่าที่ไม่ต้องแจงบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน
2. นาฬิกาหรูที่ ป.ป.ช.ตรวจพบ มีจำนวน 22 เรือน ย่อมต้องขอยืมมาใช้ในระยะเวลายาวนาน จึงไม่ต่างอะไรกับการยืมเงินผู้อื่นมาใช้ในระยะเวลาติดต่อยาวนาน ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแจงบัญชีหนี้สิน เพราะหนี้สินก็มีความสำคัญในการแสดงตัวตนให้โปร่งใส เช่นกับเดียวกับทรัพย์สิน
ในอดีต นักการเมืองผู้เป็นรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคการเมือง ก็เคยโดน ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในฐานแจงบัญชีหนี้สินไม่ครบถ้วนมาแล้ว
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ การยืมเงินมาใช้ก็ต้องจ่ายคืนในมูลค่าเท่าเดิม การยืมนาฬิกาหรูมูลค่าสูงมาใช้ ก็ต้องจ่ายคืนในมูลค่าเท่าเดิมเรือนเดิม
การยืมนาฬิกาหรูมาใช้ยาวนาน จะต้องแจงบัญชีหนี้สินด้วยหรือไม่?
3. มาตรา 103 พ.ร.บ.ป.ป.ช. ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่น เกิน 3,000 บาท
ต่อครั้ง เว้นแต่จะเป็นการให้โดยธรรมจรรยา
ข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับจากพลเอกประวิตรว่า ได้ยืมนาฬิกาจากเพื่อนจำนวน 22 เรือน จึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริงอีก ปัญหาจึงมีอยู่ว่า การยืมนาฬิกาหรู 22 เรือน สลับผลัดเปลี่ยนเป็นเวลานาน จะถือว่าเป็นประโยชน์อื่นใดมูลค่าเกิน 3,000 บาท หรือไม่?
นาฬิกาหรู กระเป๋าหรู ที่มีราคาสูง ในปัจจุบันมีการให้เช่ากันมากมาย ป.ป.ช.ย่อมจะแสวงหามูลค่าการเช่าได้อยู่แล้ว และพอจะอนุมานได้ว่าประโยชน์ที่ได้เทียบกับการเช่าย่อมเกิน 3,000 บาทอย่างแน่นอน
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า การได้รับประโยชน์จากเพื่อนที่เคยเรียนหนังสือด้วยกัน จะถือว่าเป็นการได้รับประโยชน์โดยธรรมจรรยา หรือไม่? คำตอบก็น่าจะชัดเจนว่าไม่ใช่ เพราะถ้าตีความว่า การได้รับประโยชน์จากเพื่อนเป็นธรรมจรรยา ต่อไปกฎหมาย ป.ป.ช.ก็ไม่สามารถใช้บังคับให้เกิดประโยชน์ได้อีกต่อไป
จึงมองไม่ออกว่า ทำไม ป.ป.ช.จึงยังไม่ชี้มูล แต่รอการวินิจฉัยต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช.ก็ไม่สามารถจะลงโทษจำคุก 3 ปี หรือแปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้ด้วยตนเอง ต้องส่งต่อไปยังอัยการ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้ตัดสิน
4. การลงมติ VOTE ของ ป.ป.ช.ก็มีเรื่องน่าสนใจ
ประธาน ป.ป.ช. ได้ถอนตัวจากการพิจารณา ซึ่งถูกต้องเหมาะสมแล้ว เพราะเป็นผู้มีความใกล้ชิดกับพลเอกประวิตร เคยเป็นเลขาฯ ของพลเอกประวิตร เคยทำงานใกล้ชิดน้องชายของพลเอกประวิตรมาก่อน จนกระทั่งเมื่อครั้งสมัครเข้าเป็นกรรมการ ป.ป.ช. คนจำนวนหนึ่งก็มั่นใจว่าจะได้เป็นประธาน ป.ป.ช.
แต่การลงมติ ควรจะพิจารณาเป็น 2 ประเด็น หรือไม่?
1) พิจารณาลงมติว่า ข้อมูลจากการสอบสวนและแสวงหาครบถ้วนแล้วพอที่จะลงมติชี้มูลความผิดแล้วหรือไม่
2) หากการพิจารณาประเด็นแรกผ่าน ว่าข้อมูลครบถ้วน จึงลงมติว่าพลเอกประวิตรจงใจปกปิดข้อเท็จจริงในการแจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือไม่
แต่มติที่ออกมาปรากฏว่า ป.ป.ช. 5 ท่าน เห็นว่า “ไม่มีมูลเพียงพอว่าพลเอกประวิตรจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ”
ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. 3 ท่านเห็นว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้
แสดงว่า ส่วนหนึ่ง Vote ตามข้อ 1) อีกส่วน Vote ตามข้อ 2)
คะแนนแพ้-ชนะครั้งนี้ อาจไม่มีปัญหา แต่หากจำกันได้ เมื่อครั้งศาลรัฐธรรมนูญลงมติคดีซุกหุ้นของทักษิณ
ก็ Vote ลักษณะแปลกๆ
ครั้งนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 คน เห็นว่าทักษิณไม่จงใจปกปิด(ซุกหุ้น)
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อีก 2 คน เห็นว่าไม่เข้าข้อกฎหมายที่จะลงมติ
และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 คน ได้วินิจฉัย ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทําการซุกหุ้นจริง
แต่ประธานศาลรัฐธรรมนูญจึงได้รวมคะแนนไม่จงใจปกปิด(ซุกหุ้น) กับไม่เข้าข้อกฎหมายที่จะลงมติเข้าด้วยกัน ทักษิณเลยหลุดคดีซุกหุ้น คือปกปิดแจงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ ด้วยมติ 8 : 7 ทำความเสียหายให้กับประเทศชาติ และทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญในสมัยนั้น
ในความเป็นจริง ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญควรลงมติ 2 ครั้ง คือ
1) กรณีดังกล่าวเข้าข้อกฎหมายที่จะพิจารณาว่าจงใจปกปิด ได้หรือไม่?
2.) ถ้ามติว่าเข้าข้อกฎหมายพิจารณาลงมติได้ ตุลาการทุกคน รวมทั้งผู้เห็นว่าไม่เข้าข้อกฎหมายที่จะพิจารณา เมื่อแพ้มติ ก็สามารถจะลงมติในประเด็นที่ 2 ได้
ระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
ทั้งหมดนี้ ก็ด้วยความปรารถนาดี
อยากเห็น ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระที่น่าเชื่อถือ มีเกียรติยศสูง เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจที่สี่ อำนาจตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ อย่างแท้จริง
ไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ป.ป.ช.ถูกกล่าวหาว่าถ่วงเวลา เล่นพรรคเล่นพวก ถ้าไม่ใช่กรณีกล่าวหาพลเอกประวิตร การชี้มูลคงจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง จนถึงการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน
หากจำกันได้ ป.ป.ช.ในอดีต 9 คน ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ แอบขึ้นเงินเดือนตนเองโดยมิชอบ จนต้องคดีอาญา และพ้นจากตำแหน่งไปทั้ง 9 คนมาแล้ว
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี