ถ้าเป็นคนอื่นหยิบยกเหตุผลและประเด็นที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สมควรเป็นนายกฯอีก ขึ้นมา แล้วสังคมนิ่งเฉย ไม่กดดันให้พลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศว่า “เป็นนักการเมืองเต็มตัว” ต้องตอบ ก็พอจะเข้าใจได้
แต่การกล่าวหาครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรองนายกรัฐมนตรีที่ร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาก่อน เป็นคนหยิบยกประเด็นกล่าวหาถึง 8 ประการ
ข้อกล่าวหามิได้พูดขึ้นลอยๆ แต่เขียนเป็นบทความแยกแยะเป็นข้อๆ ด้วยประเด็นและข้อมูลภายใน ขณะที่คุณชายปรีดิยาธรร่วมรัฐบาลในฐานะรองนายกฯ ยิ่งกว่านั้น 5 ใน 8 ข้อ เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความสุจริต เล่นพรรคเล่นพวกหรือไม่
และที่สำคัญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเขียนชัดเจนว่า เจตนาคือไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก โดยไม่อ้อมค้อม
ทำลายความน่าเชื่อถือ และให้ “ทหารเลว” ชี้แจงแทน
ทันทีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรออกบทความ วันรุ่งขึ้นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ออกมาดิสเครดิต ทำลายความน่าเชือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ทันที บิดประเด็นการตอบข้อกล่าวหา โดยกล่าวหากลับว่า “พูดส่งเดช ไม่มีเลย ไปตั้งบริษัทน้ำมันที่ไหน ไม่มีหรอก พูดไปเรื่อย
คนไม่ชอบกันส่วนตัว”
นักข่าวถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรไม่ชอบใคร ระหว่าง พล.อ.ประวิตร และนายกรัฐมนตรี?
พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำว่า “เป็นการไม่ชอบกันส่วนตัว”
นักข่าวถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรไม่ลงรอยกับทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบันใช่หรือไม่?
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ก็ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ก็หลังจากเขาออกไปจากครม. ก็ไปคิดเอาเอง”
ไม่ตอบคำถาม แต่ทำลายความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหาทันที ด้วยคำที่ว่า “พูดส่งเดช” และพูดทำนองว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อกหักจากการออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
ซึ่งก็ได้ผล เพราะสังคมไทยส่วนหนึ่งไม่ชอบรู้ ไม่ติดตามรายละเอียดของบ้านเมืองอยู่แล้ว ก็พลอยเชื่อไปได้ง่ายว่าคงเจ็บแค้น เจ็บใจ แล้วก็ละเลยประเด็นคำถามและการกล่าวหาพลเอกประยุทธ์
อีกวันหนึ่ง โฆษกรัฐบาลก็ออกมาอธิบายโน่น นี่ นั่น อย่างหลวมๆ ว่าไม่ได้เป็นจริงอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่ตอบคำถามและประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวหาอย่างชัดเจนไม่ได้
ความจริง โฆษกรัฐบาลคือโฆษกของรัฐบาล เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งทางการเมือง
ที่ทรงเกียรติ กินเงินเดือนของประชาชน จำเป็นต้องแยกแยะหน้าที่ของตนเองว่าประชาชนจ่ายเงินเดือนเพื่อให้ความจริงแก่ประชาชน สำหรับเรื่องของรัฐบาล มติ ครม.
แต่ประชาชนมิได้จ่ายเงินเดือนโฆษกรัฐบาลให้ทำหน้าที่โฆษกประจำตัวพลเอกประยุทธ์ แก้ตัว แก้ต่าง ชี้แจงให้ส่วนตัว
ครั้งนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวหาพลเอกประยุทธ์เป็นตัวบุคคลชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์จะต้องชี้แจงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาที่เขาว่าไม่เหมาะเป็นนายกฯอีกอย่างไร เป็นข้อๆ
พลเอกประยุทธ์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ปัดไปทำนองแล้วมันเกิดอย่างที่เขากล่าวหาหรือเปล่า แล้วตั้งคำถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรต้องการประโยชน์อะไร?
ก็สะท้อนการเบี่ยงประเด็นชัดเจน ทั้งนี้เพราะม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวหาถึงความพยายามที่ไม่สมควร แต่ในที่สุดก็ไม่สำเร็จบ้าง สำเร็จบ้าง และเขาก็บอกชัดเจนว่าทำไปเพราะไม่ต้องการให้ท่านเป็นนายกฯ อีก
สังคมไทยไม่ควรนิ่งเฉยกับข้อเท็จจริง
เราจึงไม่ควรละเลยกับประเด็นข้อกล่าวหาของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ไม่ใช่เคลิบเคลิ้มไปกับการทำลายความน่าเชื่อถือและตอบแบบปัดๆ ด้วยเทคนิคแบบเจ้าเล่ห์ แต่ต้องตั้งคำถามว่า นับตั้งแต่ 24 ธันวาคม 2561 ที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวหา บัดนี้เราได้คำตอบหรือยัง? การไม่ตอบหรือตอบไม่ได้ สะท้อนอะไรหรือไม่?
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรตั้งประเด็นเกริ่นนำว่า มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐเพื่อปูทางให้พลเอกประยุทธ์สืบทอดอำนาจ ใช้การประชุม ครม.สัญจรและงบประมาณเป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยม รัฐมนตรีในสังกัดผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่แฝงตัวหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอื่น เป็นจริงตามนั้นหรือไม่?
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร มี 8 เหตุผล ที่ไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯอีก ซึ่งเรายังไม่ได้รับคำตอบ คือ
1. รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ขาดวินัยการคลัง เมื่อขาดดุลประจำปีไม่ได้ก็อนุมัติงบผูกพันไปอนาคต เช่น กรณีเรือดำน้ำ
รัฐมนตรีคลัง สมหมาย ภาษี คัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ถูกเปลี่ยนตัวเป็นรัฐมนตรีคลังใหม่ที่ไม่แสดงความเห็น ทั้งๆ ที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและสภาพัฒน์ไม่เห็นด้วย
อยากรับรู้ว่าการบริหารงบประมาณทำกันแบบนี้จริงหรือไม่? มีความจำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำผูกพันงบประมาณ เป็นหนี้สิน ต้องตั้งงบประมาณในปีถัดๆ ไป จริงหรือไม่?
2. พลเอกประยุทธ์และเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คน ร่วมกันแอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ด้วยวิธีการแอบเพิ่มบทบัญญัติจัดตั้งในการพิจารณาร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ปิโตรเลียมวาระ 2 จริงหรือไม่?
ถ้าจริง ประเทศชาติจะย้อนยุคกลับไปบริหารด้านพลังงานเหมือนอดีต ที่ธุรกิจพลังงานของประเทศชาติถดถอย ให้ต่างชาติเข้าครอบงำ หรือไม่?
3. รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ดำเนินนโยบายเอาใจจีนมากเกินไป จนขาดความสมดุล ยกตัวอย่าง รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ที่กำหนดเป็นนโยบายใช้รถไฟจีน
มีการสอดไส้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้คนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้อยู่อาศัย และถือกรรมสิทธิ์ โดยไม่กำหนดจำนวนสูงสุดเอาไว้ด้วย
การค้าในจังหวัดที่รถไฟความเร็วสูงผ่าน พลังพ่อค้าในเมืองเหล่านั้นไม่มากพอจะต่อสู้กับพ่อค้าจากจีน
พลเอกประยุทธ์รู้ เข้าใจ หรือถูกคนรอบข้างชี้นำชักชวนในเรื่องนี้ หรือไม่? หรือทั้งหมดไม่เป็นความจริง?
4. พลเอกประยุทธ์ได้กระทำหลายอย่างให้คนไทยทั่วไปเห็นว่า ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือนหรือไม่? เช่น โครงการราชภักดิ์ที่หัวหิน ก็กดดันจนหัวหน้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินชี้แจงเป็นเรื่องปกติได้
เรื่องการแจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ถ่วงเวลา และชี้แจงประชาชนนานกว่าที่ควรจะเป็น
จริงหรือไม่?
5. ระหว่าง 1 ปี ที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเป็นรองนายกฯ พลเอกประยุทธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายทุนนักธุรกิจใหญ่บางราย จริงหรือไม่?
มีการแต่งตั้งบุคคลที่สนิทกับนักธุรกิจปลอดภาษี (Duty Free) ไปเป็นประธานกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.)
มีการแต่งตั้งตัวแทนกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ไปเป็นกรรมการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไปล่วงรู้ข้อมูลด้านการลงทุนที่ผู้อื่นไม่รู้ ใช่หรือไม่?
ยิ่งกว่านั้น ยังเชิญนักธุรกิจเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย
และที่สุดของที่สุด ยังเคยเอ่ยปากให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร จัดให้กลุ่มธุรกิจใหญ่ได้ดำเนินรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน โดยไม่ต้องประมูล ใช่หรือไม่?
นอกจากนี้ ข้อ 6 – 8 ที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรนำเสนอไปในบทความนั้น เป็นพฤติกรรมและนิสัยที่ติดมากับตัว เช่น เรื่องความกลัวในการตัดสินใจ ความเหมาะสมในการเป็นประธานอาเซียนที่ไทยจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในปี 2562 และการพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว และบางครั้งก็ใช้คำหยาบคาย ไม่เหมาะที่ผู้นำประเทศซึ่งจะต้องไม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีที่เยาวชนจะทำตาม
พลเอกประยุทธ์ต้องตอบ หากจะเป็นนายกฯ อีก
ความเห็น ข้อมูลของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อดีตรองนายกฯ ร่วมรัฐบาลกับท่านอดีตรัฐมนตรีคลัง อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่แจ้งต่อสังคมอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม เป็นข้อๆ ถ้าพลเอกประยุทธ์จะทำงานการเมือง จะเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องตอบให้กระจ่างครับ
จะใช้เทคนิคมีคนอื่นมาทำลายความน่าเชื่อถือของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร หรือตอบแบบอ้ำอึ้ง หรือให้คนอื่นที่เด็กกว่ามาตอบแทน ไม่น่าจะมีน้ำหนักอีกต่อไป
ถ้าจะรับใช้ชาติ รับใช้แผ่นดิน ในตำแหน่งนายกฯ อีก ต้องตอบ หรือยอมรับเสีย ยังดีกว่าปล่อยเลยตามเลย จะเป็นบาดแผลทิ่มแทงผู้นำของเราตลอดไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี