ปกติคนเรานั้นมักจะคิดกันว่าปัญหาของเรานั้นใหญ่โตยุ่งยาก ยิ่งเป็นปัญหาของประเทศตนเองยิ่งรู้สึกซับซ้อนอนาคตดูจะมัวซัว ไปแล้วใหญ่ จนบางครั้งก็เกิดอาการยอมรับสภาพ ยอมรับกรรม ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตถูไถไปวันๆ รอดูโชคชะตา และหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก จะมาช่วยฉุดลากตนเองออกไปจากสภาวะอับจนนี้
แต่ถ้าเราหยั่งคิด ทบทวน ไตร่ตรองดูสักนิด ถามตัวเราเองว่า ประเด็นปัญหาของบ้านเมืองของเรานั้นอ่อนแอ ไร้แสงสว่างถึงขนาดนั้นเชียวหรือ และพวกเราคนไทยจะร่วมคิด ร่วมแรง ร่วมใจ ในการแก้ปัญหาโอบล้อมตัวเรากันมิได้เชียวหรือ
ลองเริ่มต้นกันด้วยการหันไปมองประเทศต่างๆ นอกบ้าน แล้วเอาปัญหาของเขามาเทียบกับของประเทศเรากันดู ว่าของใครรุ่มร้อน ใหญ่โตมโหฬาร กว่ากัน โดยผมขอยกตัวอย่างแค่ 3 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ พม่า (เมียนมา) และเวียดนาม ซึ่งผมเห็นว่าทั้ง 3 ประเทศนี้ สภาพการณ์ของเขาต่างสลับซับซ้อน และมีความลึกซึ้ง ที่ท้าทายกว่าของไทยเราอย่างเทียบกันมิได้
โดยทั้ง 3 ประเทศนั้น อยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเช่นเดียวกันกับไทย แต่ไทยอยู่ระดับแนวหน้า ขณะที่ทั้ง 3 ประเทศนั้นอยู่รั้งท้าย เข้าข่ายด้อยพัฒนา ส่วนเวียดนามก็มีภาษีกว่าทั้ง 2 ประเทศหน่อยด้วยการเปิดประเทศให้สิทธิพิเศษกับการลงทุนจากต่างประเทศอย่างไม่อั้น ทั้ง 3 ประเทศเมื่อเทียบกับประเทศไทยโดยปัจจัยชีวิตต่างๆ รวมกันแล้ว ถือว่ายังห่างไกลในระดับความเจริญก้าวหน้าและความทันสมัยกับไทยเป็นอย่างมาก หากเทียบกันจากมุมมองของเขา ไทยเราคือเมืองสวรรค์
บังกลาเทศมีประชากร 160 ล้านคน มีปัญหาผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนมาโดยตลอด คนส่วนใหญ่ยากจนข้นแค้น แล้วยังต้องแบกภาระผู้อพยพชาวโรฮีนจาจากพม่าอีกร่วมล้านคน เป็นประเทศอิสลามแอบแฝงด้วยพวกอิสลามหัวรุนแรงทางการเมือง การเมืองระดับชาติก็ได้เห็นการขับเคี่ยวอย่างถึงพริกถึงขิงของ 2 ตระกูลการเมืองแบบไม่เผาผีกัน แต่ก็ยังอยู่ในกรอบประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง โดยจัดการเลือกตั้งได้ตามกำหนดเวลา
เวียดนามมีพลเมืองร่วม 100 ล้านคน ผ่านพ้นทั้งสงครามเอกราช และสงครามกลางเมือง (อุดมการณ์) มาได้แค่ 30 กว่าปี ต้องเริ่มสร้างชาติสร้างเมืองกันใหม่ และปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคโลกาภิวัตน์ และเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมสมัย รวมทั้งการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ระหว่างคนเหนือคนใต้
ส่วนพม่านั้นก็ผ่านทั้งการต่อสู้เพื่อเอกราชสงครามกลางเมืองระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ แล้วยังมีกระบวนการคอมมิวนิสต์เข้ามาเสริมโรงด้วย แล้วในที่สุดฝ่ายกองทัพชาติพันธุ์พม่ารามัญเข้าครอบครองอำนาจได้อยู่ร่วม 50 ปี และล้าหลัง และขับเคลื่อนประเทศด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมผสมสังคมนิยม ทำให้ประเทศดิ่งลงสู่ความยากจน บัดนี้ก็อยู่ในสภาวะการอยู่ร่วมกันของฝ่ายกองทัพ กับฝ่ายพลเรือนประชาธิปไตย ขณะที่ภาระรวมประเทศด้วยชาติพันธุ์ต่างๆ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแฝงด้วยการใช้กำลังกันประปราย สะท้อนซึ่งความอ่อนไหวอ่อนเปลี้ยของเสถียรภาพของสังคม
ทั้งพม่าและเวียดนามก็ต้องเผชิญกับอิทธิพลของจีน ส่วนบังกลาเทศก็ทำตนอย่างระมัดระวังกับอินเดีย
แต่ท่ามกลางความหนักหน่วงของประเด็นปัญหาเหล่านั้น บรรดาผู้นำเขาก็กลับมุ่งมั่นในการแก้ไขตามวิถีทางของเขา โดยไม่มีข่าวคราวออกมาว่า เขาพูดจาปลิ้นปล้อนกับประชาชนพลเมือง ไม่หลอกไม่ลวง ไม่พูดอย่างทำอย่าง และไม่มุ่งมั่นในการใช้อำนาจเพื่อการกอบโกย และมิได้แสดงทีท่าของการโหยหาอำนาจอย่างไม่มีขอบเขต
ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่ประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 เขามีกันนั้น จัดได้ว่าไทยไม่มี แม้ว่าจะมีปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ก็เป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ ภยันตรายมิใช่สภาวะสงคราม แต่เป็นการก่อการร้ายประปราย ซึ่งมักจะแยกแยะมิได้ว่า เป็นฝีมือพวกแบ่งแยกดินแดน หรือขบวนการอิทธิพล และโจรผู้ร้าย และข้าราชการนอกแถว
เมื่อเทียบกับประเทศเหล่านั้นแล้ว ก็น่าจะสรุปกันได้ว่า ไทยไม่มีปัญหาพื้นฐานร้ายแรง
คำถามก็มีต่อไปว่า แล้วปัญหาจริงๆ ของไทยคืออะไรกันแน่ ประเทศถึงดูไร้เสถียรภาพ ก้าวไปอย่างกระท่อนกระแท่น
ผมก็คิดว่ามี 2 คำตอบ นั่นคือ
1) ปัญหาคุณภาพของผู้นำประเทศ ชุดต่างๆ ที่มีมา ที่มีอยู่ร่วม 5 ปีนี้ และที่กำลังจะมีในอนาคตอันใกล้
2) ปัญหาความรู้สึกนึกคิด ว่าด้วยการเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจรัฐ เจ้าของงบประมาณประเทศ และเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายนั้นยังไม่ซึมลึกในจิตใจ
ในประเด็นแรกก็เป็นเรื่องของการที่จะต้องให้ได้มาซึ่งผู้นำประเทศที่จะอุทิศกายใจให้กับประเทศไทย ดังที่ประเทศทั้ง 3 ดังกล่าวเขาดูจะมีดีและมีมากกว่าของไทยเรา แต่จะให้ผู้อาสารับใช้บ้านเมืองเขาปรับใจ เปลี่ยนใจก็ดูจะยากลำบาก อีกทั้งคนดีๆ ก็ใจไม่ถึง ไม่กล้าที่จะอาสาออกมารับใช้บ้านเมือง
ฉะนั้น ก็ต้องกลับไปที่ข้อ 2 คือ ประชาชนพลเมืองเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งปวงของชาติ โดยประชาชนพลเมืองจะต้องทำตัวเป็นเจ้าของประเทศให้ได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะกระทำได้ก็ต้องสนใจในเรื่องบ้านเมือง มีความอยากรู้อยากเห็น และอยากเข้าไปเกี่ยวข้องร่วมคิดร่วมตัดสินใจ ซึ่งประชาชนพลเมืองจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ต้องมีปัจจัยเสริมสร้าง เช่น
1) นักคิด นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม นักวิชาการนักเขียน ต้องออกมาแสดงตัวและเป็น “ครู” ให้กับประชาชนพลเมือง
2) ประชาชนต้องเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร และ กลุ่มผู้คนในข้อ 1 ก็ต้องออกมาช่วยกันเรียกร้องต่อฝ่ายผู้มีอำนาจให้เปิดเผยข้อมูล
ประชาชนมีความรู้ มีความเข้าใจทางการเมืองอย่างถูกต้อง คนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลการบริหารงานของรัฐ มีความรู้ในการตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐ ก็เท่ากับว่าประชาชนมี “อาวุธทางการเมือง” ที่จะ“สั่งการ” ผู้อาสารับใช้ประชาชนได้ในวันข้างหน้า ซึ่งหากแก้ปัญหาการเมืองไทยที่แท้จริงได้ตรงจุดการเมืองไทยก็จะไม่ลุ่มๆ ดอนๆ เศรษฐกิจไทยก็จะได้รับการแก้ไขอย่างถูกทิศถูกทาง อนาคตประเทศไทยก็จะไปโลด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี