ขณะนี้ดูเหมือนว่ามีทั้งความขัดแย้ง มีทั้งความสับสนเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นเป็นครั้งแรกหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับแล้ว และข่าวคราวทั้งหลายในเรื่องนี้ดูเหมือนว่ายังหาทางออกอะไรกันไม่ได้ มูลฐานที่แท้จริงมีที่มาจากความพยายามที่จะทำให้เกิดความสับสนขึ้นในบ้านเมือง จะโดยความตั้งใจบริสุทธิ์หรือโดยไร้เดียงสา ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
และสภาพปัญหาในขณะนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองนั้น ฝ่ายหนึ่งอยากจะให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป อีกฝ่ายหนึ่งต้องการให้เลือกตั้งตามโรดแมปที่ประกาศไว้เดิม โดยเฉพาะการแถลงย้ำของผู้เกี่ยวข้องในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ความขัดแย้งในทางการเมืองในส่วนนี้กำลังขัดแย้งกันหนักหน่วงขึ้น ถึงขั้นมีการชุมนุมหรือเดินขบวนย่อยกันแล้ว
แต่ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมายที่อาจทำให้การเลือกตั้งมีความเสี่ยงที่จะเป็นโมฆะคือปัญหาว่าระยะเวลา 150 วัน นับแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ซึ่งจะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน นั่นก็คือภายในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
ฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ว่าต้องเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วันนั้น หมายถึงวันเลือกตั้งหรือวันหย่อนบัตรเลือกตั้งแต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าต้องหมายถึงวันที่การเลือกตั้งเสร็จแล้วจริงๆ คือวันประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ เพราะหลังจากประกาศผลการเลือกตั้งเป็นทางการแล้ว จังหวะก้าวต่อไปก็คือ การขอรับพระราชทานพระราชกฤษฎีกาเพื่อเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกเพื่อประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา และจะต่อเนื่องด้วยการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำหน้าที่ประธานรัฐสภาด้วย
ท่วงท่าในขณะนี้ปรากฏว่า กกต. มีความเห็นเช่นเดียวกับความเห็นของนักวิชาการทางกฎหมายทั่วไปว่า การเลือกตั้งแล้วเสร็จก็คือการประกาศผลการเลือกตั้ง ดังนั้น กกต. จึงไม่รับฟังข้อเสนอแนะของผู้แทนฝ่ายรัฐบาลที่ไปแนะนำให้กำหนดการเลือกตั้งดังที่เป็นข่าวไปแล้ว เพราะ กกต. เห็นว่าเป็นความรับผิดชอบของ กกต. ที่จะกำหนดในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาบงการกำหนด เนื่องจากหากพลาดพลั้งผิดพลาดประการใด ผู้ที่ต้องรับหน้าเสื่อติดคุกติดตะรางก็คือ กกต.
เพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องนี้ คือปัญหาว่าเมื่อใดจึงจะถือว่าการเลือกตั้งแล้วเสร็จ โดยเฉพาะคือหมายถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง หรือวันประกาศผลการเลือกตั้ง
ในประการนี้กฎหมายบัญญัติชัดเจนสืบเนื่องกันมาว่า เมื่อกำหนดวันเลือกตั้งและหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว หาก กกต. ตรวจสอบไต่สวนพบว่าการเลือกตั้งในเขตใดไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือมีการกระทำความผิดตามกฎหมาย กกต. ก็มีอำนาจที่จะแจกใบแดงหรือใบเหลืองได้ตามควรแก่กรณี นั่นหมายความว่าแม้หย่อนบัตรเลือกตั้งไปแล้ว แต่การเลือกตั้งอาจจะมีขึ้น
ต่อไปครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ ดังนั้นวันเลือกตั้งหรือวันหย่อนบัตรเลือกตั้งจึงไม่ใช่วันแล้วเสร็จการเลือกตั้ง
แต่เมื่อใดก็ตามที่ กกต. เห็นว่าสามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ และเมื่อประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว กกต. ไม่มีอำนาจออกใบเหลือง หรือใบแดงได้เอง จะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบไต่สวนและดำเนินการเพื่อเพิกถอนสมาชิกภาพของ สส. ที่ กกต. ได้รับรองไปก่อนแล้ว ซึ่งเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ
อุปมาเหมือนดังมวยไทย ชกกันไป 5 ยกแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลการนับคะแนนว่าฝ่ายใดแพ้ ฝ่ายใดชนะ ย่อมไม่อาจถือได้ว่าการแข่งขันชกมวยนั้นเสร็จสิ้นแล้ว จนกว่ากรรมการจะนับคะแนนและประกาศผลการชกว่าใครแพ้ชนะนั่นแหละจึงเรียกว่าการแข่งขันชกมวยได้เสร็จสิ้นลงแล้วฉันใด การเลือกตั้งเสร็จก็ฉันนั้น
ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายและโดยการตีความอย่างสามัญที่สุดและโดยไม่มีอภินิหารใดๆ มาเจือปน จึงเป็นความรับรู้ตรงกันทั้ง กกต. และคนทั้งหลายว่าบทบัญญัติที่ว่าการเลือกตั้งแล้วเสร็จนั้นหมายถึงการประกาศผลการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว อันจะเป็นการเริ่มต้นของการขอรับพระราชทานพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภาต่อไป
ท่าทีและการแถลงของ กกต. ในเรื่องนี้จึงเป็นอันชอบด้วยกฎหมาย เป็นไปตามกฎหมาย และไม่มีที่ใดอันควรแก่การสงสัยเลย ดังนั้นแม้ภาพลักษณ์ของ กกต. ที่ผ่านมาถูกตำหนิติติงว่าไม่เป็นกลาง แต่ในปัญหานี้ก็พอจะคาดหมายได้ว่า กกต. จะปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ เพราะมีผลบังคับและความรับผิดทางกฎหมายที่มีโทษทางอาญาร้ายแรง และมีความรับผิดชอบทางแพ่งเป็นวงเงินเกือบ 6,000 ล้านบาท รวมอยู่ด้วย จึงเป็นเรื่องที่ กกต. คงจะไม่ยอมรับความเสี่ยงตามที่ใครไหนชี้นำอย่างแน่นอน
ก็แลเมื่อจะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จใน 150 วัน นับแต่วันที่กฎหมายการเลือกตั้งใช้บังคับ ดังนั้นวันสุดท้ายที่จะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ คือวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
แต่ กกต. ไม่มีอำนาจที่จะออกประกาศกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้ง หรือวันเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง เพราะจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งที่ออกตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งเสียก่อน
ตราบใดที่ไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งตามกฎหมายแล้ว ตราบนั้น กกต. ไม่สามารถและไม่มีอำนาจที่จะออกประกาศให้รับสมัครรับเลือกตั้ง และไม่มีอำนาจออกประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง
ดังนั้นที่เกิดความสับสนกันในขณะนี้คือการไปรุมจี้ รุมกล่าวหา ว่า กกต. ต้องกำหนดวันเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเลื่อนจาก 24 กุมภาพันธ์ 2562 ไปวันไหนก็ตาม ซึ่งไม่อาจที่จะไปบังคับขับไส กกต. ได้เลย เพราะอำนาจออกประกาศดังกล่าวนั้นจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกำหนดการเลือกตั้งแล้ว
ซึ่งนับถึงวันทำต้นฉบับบทความนี้ก็ยังไม่มีประกาศพระราชกฤษฎีกำหนดการเลือกตั้งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเลย ดังนั้นคนทั้งหลายจึงต้องเข้าใจเรื่องนี้และต้องเลิกจี้ไช เลิกติเตียนด่าว่า กกต. ที่ยังไม่ประกาศวันรับสมัครเลือกตั้ง และยังไม่ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งได้แล้ว เพราะจะด่าว่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับ กกต. และ กกต. ก็กำหนดไม่ได้
อันการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งนั้นเป็นบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งบัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ขอรับพระราชทานเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งนั้น
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำก่อนก็คือ รัฐบาลจะต้องขอรับพระราชทานพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งก่อน เมื่อพระราชทานแล้ว นั่นแหละ กกต. จึงจะสามารถออกประกาศกำหนดวันรับสมัครการเลือกตั้งและกำหนดวันเลือกตั้งได้
ในกรณีนี้ กกต. ได้ยืนยันว่าจะสามารถออกประกาศกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้งและวันเลือกตั้งได้ภายใน 5 วัน หลังจากมีประกาศพระราชกฤษฎีกาแล้ว ดังนั้นในช่วงระยะนี้จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องขอรับพระราชทานพระราชกฤษฎีกานั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับระยะเวลาตามกฎหมายด้วย โดยสรุปคือ
ประการแรก เมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกาแล้ว กกต. ก็จะออกประกาศกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้ง และวันลงคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งจะใช้เวลา 5 วัน หลังจากประกาศพระราชกฤษฎีกาแล้วจึงจะประกาศได้ และ กกต. ก็ต้องให้เวลาแก่พรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง รวมทั้งต้องมีเวลาที่ กกต. จะตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น ซึ่งจะต้องใช้เวลาราว 15-20 วัน
ประการที่สอง กกต. ต้องให้เวลาแก่พรรคการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งราว 45-60 วัน และต้องเผื่อเวลาตรวจสอบไต่สวนในกรณีมีข้อร้องเรียนว่าการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมเพื่อตรวจสอบไต่สวนและอาจมีการกำหนดการเลือกตั้งใหม่ครั้งเดียวหรือหลายครั้งตามความจำเป็นแล้วแต่กรณี ซึ่งต้องใช้เวลาตั้งแต่วันรับสมัครรับเลือกตั้งไปจนกระทั่งถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 60 วัน และ กกต. ยังต้องมีเวลาสำหรับตรวจสอบไต่สวนเพื่อประกาศผลการเลือกตั้งอีก 60 วันด้วย
ก็ลองรวมตัวเลขกันดูว่าระยะเวลาทั้งหมดนั้นจะทำให้การเลือกตั้งแล้วเสร็จ คือประกาศผลการเลือกตั้งได้ภายในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 ได้หรือไม่
สถานการณ์ในขณะนี้จึงรวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลว่าจะขอรับพระราชทานพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งได้เมื่อใด
ดูเวลาแล้วน่าระทึกใจยิ่งนัก!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี