ความไม่แน่นอนของวันเวลาเลือกตั้งที่ทั้ง คสช. และ กกต. ยังไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่ชัด กำลังส่งผลต่อพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเต็มที่ กลับต้องชะลอท่าที ด้วยความสงสัยว่าเหตุใดกรอบเวลาหาเสียงเลือกตั้งที่ยังไม่ออกเสียที แม้ว่าหลายพรรคทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย อนาคตใหม่ จะประกาศว่าพร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้ง แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังก็ต่างมีความไม่พร้อมกันทั้งนั้นประชาธิปัตย์ ที่มีโครงสร้างชัดเจนและไม่มีพรรคสาขาย่อย ประกาศว่าจะส่งลงทุกเขต หากแต่กำลังประสบปัญหาเรื่องการหาผู้สมัครให้ครบทุกเขตเลือกตั้ง ส่วนของเพื่อไทยเองก็กำลังระส่ำระสายด้วยหัวที่ยังไม่ชัดเจนและหางที่สั้นลงไปมาก ด้วยยุทธศาสตร์การแตกพรรคเล็กแยกกันเข้าตี
อย่างไรก็ตาม ในสมรภูมิการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยถูกมองว่าสถานะตกเป็นรอง และมองว่าไม่มีทางจะเป็นรัฐบาลได้? ด้วยเพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่าพล.อ.ประยุทธ์มีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง จากปัจจัยต่างๆ ในขณะที่เพื่อไทยอยู่ตรงข้าม คสช. แต่พอถึงโค้งสุดท้ายจริงๆ สถานการณ์ความแน่นอนของ คสช. กลับถูกสั่นคลอนไป ทั้งจากประชาธิปัตย์ที่ดูโดดเด่นขึ้น และเพื่อไทยเองที่หากนับแต้มรวมแล้วก็มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลได้เช่นกัน เหตุใดระบบการเลือกตั้งที่ถูกออกแบบสำหรับการเมืองใหม่ กลับมีช่องให้พรรคการเมืองเดิม เอาตัวรอดได้ในที่สุด
จากระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ ทำให้พรรคต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งพรรคที่ได้คะแนนเสียงในเขตสูงอย่างพรรคเพื่อไทย หากใช่วิธีแบบเดิม เพื่อไทยอาจมีสส.หายไปถึง 40 กว่าคน จากวิธีคิดระบบบัญชีรายชื่อแบบใหม่ แต่ก็มีการปรับกลยุทธ์ของพรรคใหม่ 2 วิธี โดยวิธีแรกที่ใช้คือการดำเนินยุทธศาสตร์ที่เรียกกันว่า “แยกกันเดินร่วมกันตี” โดยการแบ่งเป็นพรรคพี่ พรรคน้อง แล้วเก็บเหล่าอดีตสส.ที่เคยได้คะแนนอันดับ 1 ของการเลือกตั้งเมื่อปี’54 ไว้กับเพื่อไทยเพื่อเอาชนะในเขต และส่งบรรดาผู้สมัครเมื่อปี’54 ที่ได้คะแนนตามมาเป็นอันดับที่ 2 หรือ 3 ในเขตไปพรรคร่วมหรือพรรคพี่น้องที่ถูกวางไว้เป็นพรรคเก็บแต้มเพื่อปาร์ตี้ลิสต์อย่าง เพื่อธรรม เพื่อชาติ ประชาชาติ ไทยรักษาชาติ หรือบางคนอาจรวมถึงอนาคตใหม่ด้วย? ซึ่งวิธีดังกล่าวก็อาจทำให้เพื่อไทยได้สส.รวมทุกพรรคย่อยมากกว่าเดิมขึ้นไปอีกถึง 20 - 40 คนด้วยซ้ำ แต่ก็มีข้อกังวลจากระดับแกนนำบางคน ว่าหากส่งผู้สมัครในนามพรรคอื่นภายใต้ชื่อที่ไม่ใช่เพื่อไทย อาจทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง และคะแนนเสียงที่ตั้งใจไว้อาจน้อยลงกว่าที่คิดหรือไม่ จึงเกิดยุทธวิธีที่ 2 นั่นคือ การหลีกทางโดยการที่ให้เพื่อไทยส่งบางเขตเว้นบางเขต แล้วให้ไทยรักษาชาติ ลงในเขตที่เพื่อไทยไม่ได้ส่งลงเช่นเดียวกับพรรประชาชาติ ซึ่งจุดนี้เป็นข้อสันนิษฐาน ต้องรอติดตามการส่งรับสมัครจริง ว่าจะมีวิธีหลีกทางแบบนี้หรือไม่? และกกต.จะมองว่าเป็นการฮั้วหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจโค้งสุดท้ายดูเหมือนจะมีการเพิ่มยุทธวิธีมาอีก 1 ยุทธวิธี จากการใช้ช่องว่างของกฎหมายที่ให้มีการเสนอชื่อผู้ที่จะมาเป็นนายกฯได้ถึง 3 รายชื่อ เปิดช่องให้มีการสร้างเกมดึงคะแนนความนิยม จากกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงให้มีการใส่ชื่อนายชัชชาติเข้าไว้เป็นผู้สมัครที่มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯ และใช้ยุทธวิธีสร้างกระแสข่าวจากการอ้างเรื่องโพลล์บ้าง หรือการปล่อยกระแสในสื่อออนไลน์ถึงความแตกต่างของคุณหญิงสุดารัตน์ และชัชชาติ เพื่อดึงคะแนนเสียงกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มคนที่ไม่นิยมในคุณหญิงสุดารัตน์กลับเข้ามาเลือกพรรคเพื่อไทยดังเดิม แม้ในความเป็นจริงคอการเมืองจะรู้ดีว่า มีโอกาสยากมากที่คุณหญิงสุดารัตน์จะยอมให้นายชัชชาติขึ้นเป็นนายกฯแทนตัวเองใช่หรือไม่?
โดยกระบวนการสร้างกระแสมีตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตั้งแต่สร้างยุทธิวิธีปล่อยชื่อสลับไปมาของ 2 คน เพื่อให้สังคมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ ทั้งที่เมื่อย้อนไปดูฐานของทั้ง 2 คน ในพรรค จะพบว่านายชัชชาติแทบไม่มีฐานสนับสนุนเลย อย่างไรก็ตาม ยุทธวิธีดังกล่าวก็มีผลกระทบเล็กน้อยต่อพรรคที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกันอย่างพรรคอนาคตใหม่ที่อาจถูกตัดแต้มไปไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในทางตรงกันข้ามยังมีผลให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสตีตื้นในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครได้มากขึ้นด้วย แต่เรื่องตลกที่แท้จริงก็คือ แทนที่จะผลักดันหัวหน้าพรรคตนเองขึ้นเป็นนายกฯ อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ ที่แม้จะเป็นหนึ่งในชื่อที่เสนอเป็นนายกฯ แต่การประชาสัมพันธ์ของพรรคกลับไม่มีการพูดถึงคุณหญิงสุดารัตน์นี้เลย ก็คงแสดงความจริงใจของพรรคการเมืองต่อประชาชนได้ไม่น้อย และสะท้อนว่าหัวหน้าพรรคที่แท้จริงคือใครกันแน่?
ขณะที่พรรคการเมืองหน้าใหม่อย่างพรรคพลังประชารัฐเองก็มีการปรับตัวให้เข้ากับระบบการเลือกตั้งแบบใหม่เช่นกัน โดยใช้วิธีการที่ถูกวิจารณ์ว่าดูดบรรดาอดีต สส. มาเข้าร่วมกับพรรค ทำให้พรรคมีจุดแข็งนอกจากเป็นพรรคสดใหม่แล้วยังเป็นที่รวมของอดีตสส.ที่มีประสบการณ์ทางการการเมืองและมีอำนาจรัฐหนุนหลัง ทำให้กลุ่มทุนเข้ามาอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันพรรคก็มีจุดอ่อนเกิดขึ้นจากความเด่นชัดเชิง“ปริมาณ” ที่สส.ไหลเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งมีความละเอียดอ่อนมากทีเดียว ทำให้การรวมกลุ่มภายใต้อุดมการณ์เดียวกันเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก เพราะต่างคนก็ต่างมีประสบการณ์มาแล้วจากพรรคต่างๆ และบางทีก็มาพร้อมด้วยกลุ่มก๊วนของตัวเอง นอกจากนั้นยังมีเรื่องของกระแสความนิยมในตัวรัฐบาลที่ลดลง จากคำถามที่ประชาชนกังขาว่าจุดมุ่งหมายของพรรคคืออะไร คือการรับใช้ประชาชน? หรือเพื่อสร้างกลุ่มก้อนทางการเมืองให้มีจำนวนมากขึ้นและสืบทอดอำนาจกันแน่? เพราะฉะนั้นสส. ที่ถูกวิจารณ์ว่าถูกดึงเข้ามาจากภูมิภาคต่างๆ จำเป็นต้องเผชิญกับภาวะการต่อต้านจากประชาชนอยู่ไม่น้อย จึงต้องหาเหตุผลต่างๆ เพื่อไปตอบคำถามของประชาชนให้ได้ อย่างกรณีพรรคพลังชล ในจังหวัดชลบุรี ที่อดีตสส.พากันย้ายไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ทำให้ในตอนนี้ได้รับกระแสต่อต้านจากประชาชน เพราะแต่เดิมความเป็นพรรคพลังชลสามารถดึงดูดใจให้ประชาชนในจังหวัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรคท้องถิ่นได้ แต่วันนี้อาจต้องเผชิญกลับภาวะการตั้งคำถามถึงอุดมการณ์ และเหตุผล ว่ามีผลประโยชน์อะไรจึงยอมทิ้งประชาชนแล้วย้ายพรรค จนมีคำถามว่าจะมีใครได้หลุดคดีจากการนี้หรือไม่? อย่างไรก็ตาม ในฐานคะแนนจากอดีตสส.จำนวนนับร้อยคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ต่อให้ไม่ชนะเป็นที่หนึ่งในเขต ก็เชื่อว่าสามารถมีคะแนนรวมกันได้สส.บัญชีรายชื่อจำนวนไม่น้อยใช่หรือไม่?
จากวันเวลาเลือกตั้งที่ไม่ชัดเจน กำลังเปลี่ยนความน่าเชื่อถือของพรรคการเมืองต่างๆ และสลับสับเปลี่ยนลำดับของพรรคการเมืองตามกระแสนิยมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลคสช. โดยพล.อ.ประยุทธ์กำลังเผชิญวิกฤติศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง จากความไม่แน่นอนของวันเลือกตั้ง และวิวาทะต่างๆ ของผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก็ไม่อาจสู้ความกระหายในอำนาจประชาธิปไตยของประชาชน
“...ทรัพย์สิน อำนาจ ชื่อเสียง และศักดิ์ฐานะ ต่างพอทอดกายทิ้งได้ง่ายดาย แต่ความทรงจำบางประการสลัดไม่หลุด ตัดไม่ขาด ลืมเลือนมิได้...” โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี