ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2559 ว่า ผมเคยอยากกลับ หากผมได้กลับบ้าน แน่นอนผมจะกลับ แต่หากไม่สามารถกลับได้ ผมโอเค เพราะผมอยู่ได้ทุกประเทศ
หลังจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ถูกทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรืออีกชื่อหนึ่งคือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยหัวหน้าคณะผู้ก่อรัฐประหารคือ สนธิ บุญยรัตกลิน
จากนั้นทักษิณก็อยู่นอกประเทศไทยมาระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งได้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนวิพากษ์ว่าเป็นการสร้างภาพด้วยการ กราบแผ่นดิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีตัวแสดงชื่อทักษิณ เมื่อเขาได้กลับมาเมืองไทยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551
จากนั้น ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ทักษิณก็ขออนุญาตจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยอ้างว่าเดินทางไปชมพิธีการเปิดการแข่งขันโอลิมปิก ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และอ้างว่าจะกลับประเทศไทยในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 แต่หลังจากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ ทักษิณ ชินวัตร ก็มิได้กลับเข้ามาในประเทศไทยอีกเลย
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะหลงลืมไปแล้วว่า ทักษิณต้องกลายสภาพเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินด้วยเหตุใด คำตอบคือ เพราะเขาหนีคดีที่ศาลฯ พิพากษาว่า เขาทุจริตการประมูลซื้อที่ดินผืนหนึ่งบนถนนรัชดาภิเษก ช่วงใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี
เป็นความจริงที่ทักษิณหลบหนีคดีอาญาของแผ่นดินไทยมาโดยตลอด แต่ที่น่าสังเกตมากยิ่งกว่าก็คือ ทักษิณสามารถเข้าไปพำนักและหลบหนีคดีในประเทศต่างๆ ได้ และที่สำคัญคือหลายต่อหลายครั้งเขายังเปิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อโจมตีประเทศไทยบนดินแดนของประเทศต่างๆ เป็นระยะๆ มาโดยตลอด
สำหรับประเทศที่ทักษิณเข้าไปพำนักเพื่อหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินไทยนั้นมีมากมายหลายประเทศ และหลายดินแดน อาทิ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มอนเตเนโกร กัมพูชา และดินแดนฮ่องกงของจีน รวมถึงประเทศจีน และยังมีประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ
มีประเด็นน่าสนใจตรงที่ว่าประเทศที่ทักษิณเข้าไปพำนักเพื่อหลบหนีคดีนั้น ล้วนเป็นประเทศที่รัฐบาลไทยอวดอ้างว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างดีกับประเทศไทย ซึ่งในที่นี้ขอเน้นไปที่ประเทศจีน หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่มีประเด็นหนึ่งที่วิญญูชนต่างตั้งคำถามไปยังรัฐบาลไทยตรงกันก็คือ ในเมื่ออวดอ้างว่าไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ที่แสนจะแนบแน่นและลึกซึ้งเสียเหลือเกิน แล้วเหตุใดจีนจึงอนุญาตให้ทักษิณเข้าไปพำนักในประเทศจีนได้เป็นระยะๆ แล้วเหตุใดไม่ส่งตัวทักษิณกลับคืนให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ขอพักเรื่องทักษิณไว้ก่อน เพราะประเด็นเกี่ยวกับทักษิณนั้นยังมีเรื่องให้ต้องพูดถึงอีกมาก แต่ ณ ที่นี้จะขอพูดถึงประเด็นคำถามที่วิญญูชนในสังคมไทยตั้งคำถามว่า ทำไมจีนจึงไม่ส่งตัวทักษิณให้ประเทศไทย รวมถึงไม่ส่งตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่กำลังหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินเช่นกัน เมื่อจีนไม่ส่งตัวทักษิณและยิ่งลักษณ์ให้รัฐบาลไทย ก็ทำเกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลจีนมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลไทยจริงหรือ หรือเป็นแค่เพียงคำโฆษณาชวนเชื่อแต่เพียงฝ่ายเดียวของฝั่งรัฐบาลไทยว่า ไทยมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลจีน
ล่าสุดจะพบว่ามีข่าวที่ได้รับการยืนยันจากสื่อมวลชนที่น่าเชื่อถือได้ อาทิ South China Morning Post วันที่ 9 มกราคม 2562 ระบุว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยถือหนังสือเดินทางของกัมพูชา และอาจใช้หนังสือเดินทางเล่มนี้ในการหลบหนีคดีจากแผ่นดินไทยเมื่อปี 2017 อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ถูกทางการของกัมพูชาปฏิเสธแล้ว แต่ยังมีประเด็นข่าวที่นำเสนอว่า ยิ่งลักษณ์ใช้หนังสือเดินทางในการตั้งบริษัทที่เกาะฮ่องกง เมื่อปีที่ 2018
South China Morning Post ยังระบุด้วยว่า พบว่าในการตั้งบริษัทในฮ่องกงนั้น พบว่า ยิ่งลักษณ์ อายุ 51 ปี ใช้หนังสือเดินทางของกัมพูชาในการจดทะเบียนทางธุรกิจเพื่อตั้งบริษัท P.T. Corporation Company เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2018 ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าบริษัทที่ ยิ่งลักษณ์ จดทะเบียนจัดตั้งนี้ทำธุรกิจใด แต่หลังจาก ยิ่งลักษณ์ ตั้งบริษัทได้ 4 เดือน เธอได้ถูกแต่งตั้งเป็นประธานบริษัทท่าเรือขนส่งสินค้านานาชาติชานโถว (Shantou International Container Terminals) ที่ให้บริการในท่าเรือขนส่งสินค้ากวางตุ้ง
ประเด็นที่รัฐบาลไทยสมควรจะต้องทำความกระจ่างให้บังเกิดต่อสาธารณชนไทยคือ เหตุใดยิ่งลักษณ์จึงมีหนังสือเดินทางของกัมพูชาได้ หรือว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่สามารถจะให้หนังสือเดินทางกับใครๆ ก็ได้โดยง่ายดาย กระนั้นหรือ
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ ได้ตีพิมพ์ข้อความโดยอ้างจากคำพูดของข้าราชการในกระทรวงที่ดูแลด้านการออกหนังสือเดินทางของกัมพูชาว่า ยิ่งลักษณ์เป็นคนไทย ไม่ใช่คนกัมพูชา ดังนั้น จึงไม่มีการออกหนังสือเดินทางให้กับคนต่างชาติ ส่วนทางการสิงคโปร์ก็อ้างว่าไม่มีหลักฐานพบว่ายิ่งลักษณ์เดินทางเข้าสิงคโปร์โดยใช้หนังสือเดินทางของกัมพูชา ในช่วงปี 2011-2014
นอกจากนี้ยังมีข่าวจาก South China Morning Post ระบุด้วยว่า ทักษิณได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการของบริษัทฮ่องกง ชื่อ The Planet Telecom (HK) Company Limited เมื่อปี 2016
หลายคนที่ติดตามข่าวการเคลื่อนไหวของทักษิณ และยิ่งลักษณ์คงทราบแล้วว่า ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว คนทั้งสองนี้ได้ไปอยู่ที่เมืองเฟงชุน ในกวางตุ้ง เพื่อไปเยี่ยมบ้านเดิมของบรรพบุรุษ
ขอตัดประเด็นกลับไปที่คำถามหลักคือ เหตุใดทางการจีนจึงให้อนุญาตให้ทักษิณและยิ่งลักษณ์ เดินทางเข้า-ออกและสามารถพำนักอยู่ในดินแดนของตนได้ เป็นเพราะว่าทางการจีนไม่เชื่อว่าทักษิณและยิ่งลักษณ์คือผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดินของไทย ใช่หรือไม่
ประเด็นต่อมาที่วิญญูชนไทยพุ่งคำถามต่อไปคือ หรือว่าทางการจีนไม่ได้มองว่าทักษิณและยิ่งลักษณ์คือผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด จึงไม่ได้คิดจะส่งตัวคนทั้งสองกลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ประเด็นต่อมาคือ หรือต่อให้ทางการจีนอาจจะรู้ว่าทักษิณและยิ่งลักษณ์หลบหนีคดีอาญาแผ่นดินของไทย แต่เนื่องจากทักษิณมีฐานะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่จีนมีความสำคัญอย่างมาก ดังนั้น จีนจึงไม่สนใจกับเรื่องความผิดที่คนทั้งสองก่อขึ้นบนแผ่นดินไทย
หรืออันที่จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนเป็นความสัมพันธ์ที่มิได้แนบแน่นโดยแท้จริง ดังนั้นไม่ว่าการที่กองทัพไทยจะพยายามทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จากจีน ก็จึงไม่สามารถทำให้จีนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยไปมากกว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้น จึงทำให้เกิดคำถามในสังคมไทยว่า ตกลงแล้วความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนแนบแน่นจริงหรือ หรือว่าแนบแน่นพอประมาณ แต่ทว่าแนบแน่นน้อยกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทางการจีนกับทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี