สิ่งที่น่าเศร้าใจสำหรับประเทศไทยก็คือ มีทั้งคนแอบอ้าง-อวดอ้าง ประชาธิปไตยอยู่มากมาย สำแดงความเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ช่วงชิงและผลักไส เพื่อให้ฝ่ายตัวได้อยู่ฝั่งประชาธิปไตย ให้อีกฝ่ายไปอยู่ฝั่งอื่น เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการบริหารงบประมาณแผ่นดิน และอำนาจในรัฐสภา เป็นสำคัญ ทว่าไม่มีการ “ยกระดับประชาชน” และประเทศชาติ ขึ้นมาสู่มาตรฐานประชาธิปไตยที่ดีขึ้นเลย
เช่น ถ้ารักประชาธิปไตย ต้องชิงชังเฌอปราง บีเอ็นเค เพราะเฌอปรางไปช่วยประชาสัมพันธ์ให้ฝ่ายเผด็จการ ประกาศตัวเป็นฝั่งประชาธิปไตย แต่หาเสียงด้วยการจะเอา “คนหนีคุก” กลับประเทศ ทั้งๆ ที่ประเทศไม่ได้ห้ามกลับ โกงแล้วหนี โกงโดยที่เอาอำนาจที่ได้มาจากกระบวนการประชาธิปไตยนั่นแหละไปโกง แต่ฝ่ายประชาธิปไตยบอกว่า เลือกฉันเถอะ แล้วฉันจะเอา “ไอ้ขี้โกง”
คนนี้กลับมา เออโว้ย!! ประเทศกูมี
หลายคนเบื่อการเมือง เห็นแต่ความน้ำเน่า กลับกลอก ปลิ้นปล้อน เละเทะ ชิงชัง ทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าบ้านเมืองจะต้องมี “ประชาธิปไตย” แล้วคนคุยกันไม่ได้เลย ด่ากันเละเทะจะมีไปทำไม?
พอเปรยๆ อย่างนี้ ก็จะมีคนฉวยโอกาสบอกว่า เนอะ อยู่กับลุงตู่ก็สบายดีแล้ว ลุงตู่อยู่ยาวๆ ไปเลย อ้าวเฮ้ย!! ประเทศกูมี
เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ มาจำแนกอารมณ์ “เบื่อการเมือง” และ “เบื่อเลือกตั้ง” ที่พูดตีขลุมกันไว้ ให้ประณีตขึ้นดีกว่า
มองไปในบ้านเมืองของเรา ผมขอแยกคนออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้ คือ
1.ประชาชน ที่ยังไม่อาจพึ่งพาตัวเองได้
2.ชนชั้นกลาง ที่พึ่งพาตนเองได้
3.ข้าราชการ/นักการเมือง
4.กลุ่มทุน
มาดูว่าแต่ละกลุ่ม สัมพันธ์กับ “การเมือง” และ “การเลือกตั้ง” กันอย่างไร
1) ระดับชาวบ้าน โหยหาการเลือกตั้ง
ทำไมผมถึงกล้าสรุปอย่างนี้ เพราะผมมาจากครอบครัวชาวบ้าน พี่น้องของผมอยู่ในสังคมชาวบ้าน และผมก็ทำงานร่วมกับนักเรียนและชาวบ้านในหลายพื้นที่ เขากำลังโหยหา “การเลือกตั้ง” กันอยู่ครับ เพราะอะไรหรือครับ
1.1 เพราะหลายปีที่ผ่านมา เขาตระหนักแล้วว่า การ “ไม่มีตัวแทน” นั้น สาหัสเพียงใด ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ไม่มี “สภา” ที่นั่งถกเถียง ตั้งกระทู้ถาม หรืออภิปรายกันในเรื่องนี้
ทุกข์ของเขาเป็น “ทุกข์ที่ไม่มีเสียง” เป็น “ทุกข์ที่ไม่มีคนได้ยิน” เมื่อเขารวมตัวกัน จะไปเรียกร้อง จะชุมนุม จะเคลื่อนไหว ก็มีเสียงของ “เพื่อนร่วมชาติ” ตะคอกว่า “อย่ามาสร้างความวุ่นวาย บ้านเมืองกำลังสงบ”
1.2 ชาวบ้านต่อว่าต่อขาน ข่มขู่ และต่อรองกับนักการเมืองได้ครับ แต่ทำอย่างนั้นกับ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการระดับสูง นักกฎหมาย และชนชั้นนำในสังคม ที่ร่วมกันอยู่ในแม่น้ำสายต่างๆ ของ คสช. 4-5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เลยครับ คสช. เลือกคนจากชนชั้นชาวบ้านเข้าไปร่วมอยู่ในสภาต่างๆ น้อยมากครับ ซึ่งก็น่าสนใจว่า ใน “วุฒิสภา” ซึ่ง คสช. จะเป็นผู้เลือกอีกนั้น คนระดับ “ชาวบ้าน” จะมี “ตัวแทน” ในสภาดังกล่าวนี้บ้างหรือไม่
1.3 จะชั่วจะดี ชาวบ้านกับ “ผู้แทน” มีความสัมพันธ์ในลักษณะพึ่งพากัน อันนี้ด้านบวก ด้านร้ายก็คือ ระบบอุปถัมภ์ ที่อาจไม่นำไปสู่การเลือกผู้แทนที่ใช้ความรู้ สติปัญญา นโยบายพรรค และความเป็นผู้นำ ที่มีสำนึกต่อตัวแทนของตนอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นปัจจัยหลัก ใครแจก ให้ให้ ใครดูแล เลือกคนนั้น เพราะปัญหาสำคัญมาจากการที่เขา ยัง “พึ่งพาตัวเองไม่ได้”
1.4 ในระยะยาว ต้องเร่งลดจำนวนประชาชนที่ “พึ่งพาตัวเองไม่ได้” ลง เพื่อให้เขาอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี พร้อมที่จะทำหน้าที่ ผู้เลือก “ในระบอบประชาธิปไตยที่ดี ไม่ใช่ต้องคอย “เป็นพวก” กับใคร” หรือ “ตอบแทน” พระคุณของใคร อย่างเช่นที่เป็นมาและยังเป็นอยู่
1.5 ผมไม่รู้ว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ” สนใจเรื่องนี้บ้างหรือไม่เรื่องการพัฒนาพลเมืองให้พึ่งพาตนเองได้ มีศักดิ์ศรี มากกว่าเป็นภาระ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจุนเจือ ผลักดัน และ “ยกระดับ” คุณภาพชีวิต โอกาสทำกิน ความรู้ในการทำมาหากิน ให้แก่คนกลุ่มนี้ให้มาก เมื่อภาระด้าน “การสงเคราะห์” น้อยลง การ “ช่วยซื้อผลผลิตทางการเกษตร” น้อยลง จะมีงบประมาณให้นำไปจัด “ระบบสวัสดิการของรัฐ” ได้ดีขึ้นและมากขึ้น พลเมืองกลุ่มนี้ จะได้มีฐานรายได้ดีขึ้น และตอบแทนบ้านเมืองด้วยการส่งภาษีเข้ารัฐมากขึ้น นอกเหนือจากภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการซื้อสินค้า นักการเมือง พรรคการเมือง และแผนยุทธศาสตร์ชาติต้องแน่วแน่ ที่จะ “เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง” ไม่ใช่เอาแต่นั่งด่าทอกันไปมา แยกพวก แยกข้าง ทำสงครามตัวแทนไม่รู้จบ แล้วลากเอาชาวบ้านไปเป็นเครื่องมือช่วยรบ แทนที่จะร่วมมือกัน “ช่วยพวกเขา”
2) ชนชั้นกลาง แยกข้าง-ชักเย่อ
พวกเขาพึ่งพาตัวเองได้ พวกเขาไม่แคร์ว่า สส. สว. จะให้อะไรพวกเขาหรือไม่ พวกเขาต้องการชัยชนะ หรือความสงบสุข เขาจึงครุ่นคิดว่า ใครควรจะเป็นรัฐบาล ใครควรผสมกับใคร กลุ่มนี้คือ “นักรบ” ใน “สงครามตัวแทน” ขนานแท้ พวกหนึ่งอยู่ฝ่ายทักษิณ (แต่ก็ยังลังเลกับสุดารัตน์ อยากได้ชัชชาติมากกว่า / ทษช. ก็เด็กไป / ธนาธร ดีไหม หูย...ในพรรควุ่นวายจัง) พวกหนึ่งอยู่ฝ่า
ยไม่เอาทักษิณ ขณะเดียวกันก็กระจายอยู่ในกลุ่ม เอา/ไม่เอาลุงตู่ เบื่อ/ไม่เบื่อ พี่มาร์ค ไว้ใจ/ไม่ไว้ใจลุงกำนัน ทำใจได้/ทำใจไม่ได้ กับพลังประชารัฐ
คล้ายกับว่า คนกลุ่มนี้ ไม่สนใจนโยบาย (เขาพึ่งตัวเองได้ไง)และอาจมีจำนวนหนึ่งที่หยามเหยียด “การเลือก” ของชนชั้นชาวบ้าน คนกลุ่มนี้กับเด็กรุ่นใหม่นี่แหละ ที่ปั่นป่วนกันอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ เพราะเขาว่างพอ พวกหนึ่งเลี้ยงตัวเองได้ พวกหนึ่งพ่อแม่ยังเลี้ยงอยู่ เลยมาปะทะ ด่าทอ ทำวอร์ คือสงครามสื่อกันในโลกออนไลน์อย่างบ้าคลั่ง หาเสียงกับกลุ่มนี้ ต้องมาแบบ “สุดๆ” (จะใช้คำว่า “สุดโต่ง” ก็เดี๋ยวจะถูกด่า 555)
เกลียดทักษิณให้สุด ไปยืนฝั่งโน้น
เกลียดเผด็จการให้สุด แล้วมายืนฝั่งนี้
“พี่มาร์ค” จึงน่ารำคาญฉิบหาย ที่ไม่บอกสักทีว่าจะเอายังไง แทงกั๊กอยู่นั่นแหละ กูเกลียดมึง (เขาบอกแล้ว แต่ไม่ถูกใจมึง-ยอมรับมาเหอะ 555)
คนกลุ่มนี้ใช้สื่อเป็น ขยันโพสต์ ขยันแชร์ มีอวตารมาก การเมืองในสื่อออนไลน์จึงข้นคลั่ก แต่ไม่ค่อยสร้างสรรค์ เป็นปัญญาชน ที่อารมณ์เชี่ยวกรากกว่าสติปัญญา
คนกลุ่มนี้เข้าถึงสื่อได้ และจำนวนไม่น้อย อยู่ใน “สื่อ” และ “เป็นสื่อ”
เราจึงเห็นสื่อ เอาแต่ตั้งรัฐบาล มากกว่าวิเคราะห์นโยบาย หรือลงพื้นที่ถามปัญหาของชาวบ้าน และความต้องการ “ตัวแทน” ของพวกเขา
และก็สื่อกลุ่มนี้แหละ ที่เพาะเชื้อความเกลียดชัง น่าหมั่นไส้ ให้เกิดแก่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่สนใจการเสนอตัวเป็น “ทางหลัก” หรือ “ตัวเลือกที่ 3” ที่ไม่ใช่แค่ “เผด็จการหรือประชาธิปไตยขี้โกง” ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สนใจนำพาผู้คนออกจากความขัดแย้ง ในโลกของคนกลุ่มนี้คือ ผู้ชนะ กำหนดกติกา เล่นงาน ผู้แพ้ได้อย่างชอบธรรม นโยบายบ้าๆ บอๆ ประเภท ชนะ เอาทักษิณกลับบ้าน จึงโผล่มา อีกพวกหนึ่งก็ประกาศกร้าวว่า ชอบใช้ทั้งชีวิต ขวางการกลับมามีอำนาจของพวกทักษิณ เอาๆ ว่ากันไป
กลุ่มนี้ พวกไม่เอา “พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะรับไม่ได้ที่จะเลื่อนการเลือกตั้ง พวกที่ไม่เอาทักษิณ ไม่สน “เลื่อนเลือกตั้ง” ออกไป ใครจะเป็นจะตายฮึ พระราชพิธีต้องมาก่อนสิ แล้วก็ชี้หน้า ตีตรา กลับไปกลับมาระหว่างสองฝั่ง สองพวก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เอากำหนดการและหมายกำหนดการของงาน 2 งานมาเทียบกัน หาทางออกด้วยการไม่ให้องค์พระประมุขต้องทรงลำบาก ทิ้งงานหนึ่งเพื่อมางานหนึ่งเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องทะเลาะกันแบบเอาเป็นเอาตายอะไรเลย
คนกลุ่มนี้ รับไม่ได้นะ หากประชาธิปัตย์จะจับมือกับเพื่อไทยโกรธมาก ด่าแรง ชิงชังสุดๆ แต่รับพลังประชารัฐได้ ที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ ร้อยจุดยืนก็มี ไร้จุดยืนก็มี พวกเคยชังกัน อยู่คนละขั้ว มารวมตัวกันได้ สวยงาม น่ารัก น่าเลือกจัง “แมวสีอะไรก็ช่างเหอะ ขอให้มันจับหนูได้” น่ารักไหมล่ะ
แต่ถ้าเป็นฝ่ายรักทักษิณ โกรธเหมือนกัน แต่เอาเถอะ ถ้าชนะเผด็จการได้ ก็พอจะทำใจได้ ระหว่างนี้ ด่า “อ้มาร์ค” ไปพลางๆ ว่า “ดีแต่พูด” แต่ไม่พูดให้ชัดเสียที ว่าจะอยู่ข้างไหน อ้าว!!
3) นักการเมือง อยากเลือกตั้ง / ข้าราชการ ยังไงก็ได้
นักการเมือง ปิดเทอม ตกงาน ไม่มีกิจกรรมให้ทำได้อย่างสะดวกมาหลายปีแล้ว พร้อมจะเลือกตั้งแล้ว อยากเลือกตั้งแล้ว จำนวนหนึ่งดีใจ ที่ “ฤดูกาลจ้างงานและชิงตัว” เกิดขึ้น แต่อีกจำนวนหนึ่งดีใจที่จะมีโอกาสเสนอตัวเป็น “ผู้แทน” ของพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่
เราจึงเห็นนักการเมืองที่วิ่งเข้าหาโอกาสและประโยชน์พวกหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิม ในทำนองว่ามีอุดมการณ์อีกพวกหนึ่ง และมีหน้าใหม่ๆ เข้ามาอีกจำนวนมาก เพราะโอกาสเปิดแล้ว
ส่วนข้าราชการ ยังไงก็ได้ แต่ถ้าลุงตู่อยู่ก็ดี เพราะอยู่กับลุงตู่ ข้าราชการเป็นใหญ่ กินเงินเดือนได้หลายตำแหน่ง
ในกลุ่มนี้ จะเห็นนักการเมืองสร้างความน่าเบื่อหน่ายด้วยการ “ปลุกผี” มาหลอกกัน แทนที่จะแสดง “ความดีของตัวเอง” แสดงความพร้อมที่จะ “เป็นตัวแทน” ที่แท้จริงของประชาชนจากทุกพื้นที่ ไม่ล่ะ หลอกผีกันดีกว่า หาเสียงบนความเกลียด-ความกลัว กันดีกว่า
พวกหนึ่งกลัว “ผีทักษิณ”
พวกหนึ่งกลัว “ผีเผด็จการ”
กรีดร้องกันระงมไป
พวกหนึ่งก็แค่รอเป็นรัฐบาล ไม่ว่าฝ่ายไหนขึ้นนำ หาเก้าอี้ไว้ให้เยอะหน่อย อำนาจต่อรองจะได้มากหน่อย
พวกหนึ่งก็เจ็บใจ บอกว่าไม่รับตำแหน่งอะไร แต่ไม่เคยให้ใครโผล่หัวขึ้นมาสำคัญกว่าเลย พูดอยู่คนเดียว เดินอยู่คนเดียว ถ่ายทอดสดอยู่คนเดียว ว่างก็แขวะพรรคเก่าไป ให้สาใจ (ฮา...)
4) กลุ่มทุน ก็อยากเลือกตั้ง
เลือกตั้งที บรรยากาศมันเปลี่ยน เงินจะหมุนเวียน เศรษฐกิจจะฉูดฉาด คนมีกำลังใจ พร้อมจับจ่ายใช้สอย กลุ่มทุนมีความสุข
ทุนจะเดินสายสนับสนุน ซื้อโต๊ะจีนมันทุกฝั่งไป บริจาคให้ทั้งบนโต๊ะและหลังครัว
ดีกว่านั้น ทุนใหญ่จำนวนหนึ่ง ฝังตัวอยู่ในแผนการสืบทอดอำนาจแล้ว มีโครงการของตัวแล้ว ถ้าทุนเหล่านี้ช่วยให้คนที่ตนอิงแอบอำนาจอยู่ชนะได้ ก็เดินหน้าต่อไปในโครงการต่างๆ และโครงการที่จะงอกเพิ่มขึ้นมาอีกในภายภาคหน้า
อย่างไรก็ตาม ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด ไม่ปิดกั้นโอกาสพูดคุย สงเคราะห์ กลุ่มอื่น พรรคอื่นเอาไว้ด้วย “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง” และการลงทุนทางการเมือง หากได้ ได้เยอะ
เอาเถอะครับ ใครจะเบื่อเลือกตั้ง หรือใครจะอยากเลือกตั้ง ก็แสดงอารมณ์กันไป ในความเป็นจริง การเลือกตั้งถูกกำหนดไว้ด้วยกฎหมายแม่ คือ “รัฐธรรมนูญ” ไว้หมดแล้ว หากไม่มีใครสร้าง “อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา แล้วหยุดมัน การเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่ครับ
และในความสมควร มันก็ถึงเวลาสมควรแล้วแหละ ที่จะต้องมีการเลือกตั้ง
คืนโอกาสให้ผู้คนและบ้านเมืองได้แล้วครับ
โอกาสที่ประชาชนจะมีตัวแทนของเขา โอกาสที่สภาจะเป็นสภาผู้แทนราษฎร และมีสภาผู้แทน คสช. คือ สว. รวมเอนจอยด้วยโอกาสที่ชาติบ้านเมืองจะได้เจรจาค้าขายกับสังคมโลกเขาได้อย่างสะดวกใจ โอกาสที่ประชาชนจะไม่ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ
ขอเพียงประชาชน สื่อมวลชน ร่วมกันทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการ “หาตัวแทน” มา “แก้ปัญหา” สารพัดที่หมักหมมอยู่และปัญหาเกิดใหม่ อาทิ ปัญหาสังคมสูงวัย ปัญหาความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศ ปัญหาปัญญาประดิษฐ์แย่งงานมนุษย์ ฯลฯ
ปัญหาของทักษิณ ให้ทักษิณแก้ ปัญหาของคณะรัฐประหาร ให้พวกเขาแก้
ระบอบประชาธิปไตย เอาเงินมาจัดการเลือกตั้ง ก็เพื่อให้ประชาชนเลือก “ตัวแทน” มา “แก้ปัญหา”
ไม่ใช่เลือกให้มา “รบกัน” ไม่รู้จบ
ให้ความขัดแย้งมันจบที่ประชาชนมีสติที่จะ “เลือก” และ “ไม่เข้าร่วม” ในสงครามใดๆ อีกเลย ดีที่สุด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี