ต้นปี 2562 กลุ่มอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ผู้ต้องโทษจำคุกคดีทุจริตเงินธนาคารกรุงไทย ได้รับการพักโทษ และได้ออกจากเรือนจำแล้ว 3 คน ได้แก่
ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงไทย
นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย
และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา อดีตกรรมการบอร์ดกรุงไทย
นักโทษทั้ง 3 รายนี้ ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำคุก 18 ปี ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2558 ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษตามวโรกาสสำคัญต่างๆ ทำให้โทษจำคุกเหลือ 9 ปี
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรณีนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์พักโทษกรณีพิเศษ โดยรมว.ยุติธรรมได้อนุมัติ หลังจากทั้งหมดผ่านการพิจารณามาตามลำดับขั้น
เดือน พ.ย.2561 คณะอนุกรรมการพักการลงโทษ ซึ่งมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน อนุมัติพักการลงโทษ เนื่องจากคุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์พักโทษกรณีพิเศษ คือ รับโทษจำคุกมาแล้ว 1 ใน 3, เป็นผู้ต้องขังสูงอายุ โดยมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป และมีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยเรื้อรังระยะสุดท้าย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
เดือน ธ.ค. 2561 คณะอนุกรรมการพักโทษ ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พิจารณาและอนุมัติพักการลงโทษกรณีพิเศษ
และในวันที่ 8 ม.ค.2562 เป็นวันครบกำหนดโทษ 1 ใน 3 หรือ 3 ปี 4 เดือน 15 วัน เรือนจำจึงได้ปล่อยตัวบุคคลทั้ง 3 ออกจากเรือนจำ หลังจากนี้ บุคคลทั้ง 3 มีหน้าที่ต้องรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติ
ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า ช่วงที่รับโทษ คนเหล่านี้มีอาการเจ็บป่วยหนักด้วยโรคประจำตัวเรื้อรัง ถูกส่งออกโรงพยาบาลภายนอก โดยร.ท.สุชายมีอาการป่วยหนัก นายวิโรจน์มีปัญหาสุขภาพตาเกือบมองไม่เห็น ส่วนนายมัชฌิมาก็ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา
หลังจากนี้ สังคมคงจะคอยดูว่า คนเหล่านี้ป่วยจริงไหม? เมื่อได้ออกจากเรือนจำ ได้รับการพักโทษ แล้วจะหายป่วยเลยไหม? จะลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตฟู่ฟ่า ไม่สนใจความรู้สึกของสังคม หรือจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติส่วนรวม
1. ขณะที่ 3 คนนี้ ได้รับการพักโทษ กำลังเดินออกจากเรือนจำ กรณีทุจริตเงินกู้กรุงไทยในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็กำลังพิจารณาคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย กรณีจำเลยรายสุดท้าย ได้แก่ จำเลยที่ 1 นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งปัจจุบันเจ้าตัวยังหนีคดีอยู่ต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ที่ศาลปราบโกง ก็มีคดีฟอกเงินของนายพานทองแท้ ชินวัตร และพวก กับบรรดาอดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลเช่นกัน
น่าจับตาว่า จะมีใครถูกพิพากษาว่ามีความผิด ต้องติดคุกอีกหรือไม่?
2. “ซุปเปอร์บอส ได้ตกลงแล้ว อย่าสอบถามข้อมูลมากนัก ให้พิจารณาโดยเร็ว”
คนเหล่านี้ เป็นตัวละครสำคัญในคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย
คดีดังกล่าว มีคำวินิจฉัย ของนายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตรองประธานศาลฎีกา (เจ้าของสำนวน) 1 ในองค์คณะผู้พิพากษา ระบุพฤติกรรมในรายละเอียดไว้ว่า
นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ กรรมการบริหารธนาคารผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการบริหารนัดประชุมพิจารณาสินเชื่อรายของจำเลยที่ 19 (บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด) จำเลยที่ 2 (ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ) โทรศัพท์มาหาพยานพูดว่า เรื่องของจำเลยที่ 19 “นายบุญคลี” ได้ดูดีแล้วและ “ซุปเปอร์บอส” ได้ตกลงแล้ว อย่าสอบถามข้อมูลมากนัก และขอให้พิจารณาไปโดยเร็ว
พยานโต้แย้งว่า พยานเคยเกี่ยวข้องกับที่ดินบริเวณนั้น มันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าดีจริงธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) คงไม่ปล่อยมา
แต่จำเลยที่ 2 (ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ) ตอบกลับว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีปัญหา สามารถจัดการได้
และพยานยังเบิกความว่า คำว่า ซุปเปอร์บอส หมายถึง จำเลยที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ถ้าเป็นคุณหญิงพจมาน จะต้องมีนักธุรกิจคนหนึ่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมานหรือบุคคลใกล้ชิดมีการแทรกแซงการบริหารงานของธนาคารผู้เสียหายปรากฏชัดจากการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ ได้มีการผลักดันให้นักธุรกิจคนหนึ่ง เป็นกรรมการธนาคารผู้เสียหาย แต่เนื่องจากนักธุรกิจคนดังกล่าวขาดคุณสมบัติจึงไม่สามารถแต่งตั้งได้
นางเยาวเรศ ชินวัตร น้องของจำเลยที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ก็เคยขอให้ธนาคารผู้เสียหายลดหนี้ให้บริษัท บลูริเวอร์ ไดมอนด์ จำกัด จำนวน 1,713,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 3 (นายวิโรจน์ นวลแข) แจ้งคณะกรรมการบริหารว่าได้คุยกับนางเยาวเรศ ซึ่งรู้จักลูกหนี้ นางเยาวเรศบอกว่าลูกหนี้แจ้งว่าไม่มีทรัพย์สินอื่น ทั้งๆที่ ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ธนาคารผู้เสียหายสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้พบว่าลูกหนี้เป็นนายกสมาคมและยังมีทรัพย์สินจำนวนมาก ในที่สุดธนาคารผู้เสียหายก็ยินยอมลดหนี้จำนวนดังกล่าวให้
พยานยังเบิกความว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นเพื่อนกับบุตรของจำเลยที่ 25 (นายวิชัย กฤษดาธานนท์) ครอบครัวมีความสนิทสนมกัน เพราะจำเลยที่ 25 จะต้องขอรับการช่วยเหลือสนับสนุนด้านธุรกิจจากจำเลยที่ 1
พยานเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 (นายทักษิณ ชินวัตร) เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อรายของจำเลยที่ 19
โจทก์มีนายอุตตม สาวนายน กรรมการบริหารของธนาคารผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ก่อนเข้าประชุมคณะกรรมการบริหารเพื่อพิจารณาสินเชื่อรายของจำเลยที่ 19 นายชัยณรงค์ได้บอกพยานว่าจำเลยที่ 2 (ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ) ได้ติดต่อนายชัยณรงค์เพื่อขอให้พิจารณาเป็นไปโดยรวดเร็ว พยานคิดว่าเป็นสัญญาณที่ต้องการให้มีการอนุมัติสินเชื่อให้จำเลยที่ 19 อย่างชัดเจน
3. ปัจจุบัน คดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย ในส่วนของจำเลยที่ 1 (นายทักษิณ ชินวัตร) อยู่ในชั้นศาล
มีกำหนดนัดไต่สวนพยานหลักฐาน วันที่ 26 มีนาคมนี้
น่าสนใจว่า ในคดีนี้ จะมีการไต่สวนพยานหลักฐานใดเพิ่มเติมอีก?
จะมีพยานหลักฐานมัดแน่นเพียงพอหรือยังว่าใครคือ “บิ๊กบอส” – “ซุปเปอร์บอส” ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี