นับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2561 ที่มีการแถลงว่าได้มีการทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว โดยคาดหมายว่าจะประกาศพระราชกฤษฎีกาได้ประมาณวันที่ 2 หรือ 4 มกราคม 2562 เป็นต้นมา ก็เกิดความสับสนและถกเถียงกันในเรื่องกำหนดการเลือกตั้งต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์แล้ว
จนกระทั่งมีการชุมนุมคัดค้านการเลื่อนการเลือกตั้งทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด รวมทั้งในโซเชียลมีเดีย ก็โหมกระหน่ำกันด้วยเรื่องกำหนดการเลือกตั้งทั้งสิ้น
จนกระทั่งประธาน กกต. ต้องออกมาแถลงว่า กกต. ยังไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้ง หรือกำหนดวันเลือกตั้งได้ เพราะราชกิจจานุเบกษายังไม่ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งแทนที่คนทั้งหลายจะได้ตั้งสติกันว่าเรื่องราวอยู่ในขั้นตอนไหน ก็มีคนมาสร้างความสับสนเพิ่มเติมให้ถกเถียงกันด้วยเรื่องกำหนดการเลือกตั้งที่ต้องจัดให้แล้วเสร็จใน 150 วัน ว่าต้องจัดให้เสร็จกันเมื่อใด
แล้วพากันถกเถียงโต้แย้งกัน ถึงขนาดยกเอาหลักฐานที่ตั้งวงคุยกันหลังร่างกฎหมายเสร็จสิ้นแล้วมาอ้างว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี เพราะนักกฎหมายทั้งหลายนั้นย่อมรู้ดีว่าอันการตีความกฎหมายนั้นต้องตีความตามลายลักษณ์อักษร และถ้าหากมีข้อสงสัยก็ต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย
และเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นก็ต้องพิจารณาจากกฎหมายนั่นเอง โดยเฉพาะจากบทมาตราที่เกี่ยวข้องว่ามีเจตนารมณ์อย่างไร เพราะกฎหมายทั้งหลายนั้นไม่ได้มีบัญญัติแค่มาตราเดียวโดดๆ จะมีการโยงใยเชื่อมต่อกันเป็นระบบ เป็นกระบวน จนสามารถหยั่งทราบเจตนารมณ์ของกฎหมายได้
ดังนั้นใครก็ตามไม่มีสิทธิ์ตั้งตนเองเป็นกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ที่จะแอบอ้างหรืออวดอ้างว่าความเห็นของตนหรือพวกตนเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งต้องบอกด้วยว่าเพราะหลงผิดคิดกันอย่างนี้และทำกันอย่างนี้บ้านเมืองของเราจึงวุ่นวายสับสนกันในเรื่องตีความกฎหมาย
กระทั่งมีคนบางพวกทำมาหากินกับการตีความกฎหมาย จนดังกระฉ่อนว่อนเมืองก็ยังมิได้สำนึก ยังคิดว่าไม่มีใครรู้เท่าทัน
อันกฎหมายนั้นได้บังคับคนทั้งหลายว่าต้องรู้กฎหมาย และไม่ยินยอมให้ใครอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย ยกเว้นแต่ผู้ที่ไปพลัดตกอยู่ในที่อันตรายและไม่อาจหยั่งทราบได้ว่ามีกฎหมายเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้กฎหมายจะหมายความอย่างไรจึงต้องดูจากกฎหมายนั้น และหากมีปัญหาในการตีความก็ย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะตีความกฎหมาย เพราะศาลเป็นผู้ใช้กฎหมาย
แต่ก็ยังมีพวกหน้าไม่อายจำนวนหนึ่งที่แอบอ้างเบียดเบียนหน้าที่ของศาลมาตั้งตัวเป็นนักตีความกฎหมายเสียเอง จนกระทั่งคนทั้งหลายหลงเชื่อ ทั้งๆ ที่ความคิดเห็นที่เคยตีความมาก็ถูกศาลพิพากษาคว่ำระเนระนาดให้เห็นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
เรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งก็คือไฉนเล่าจึงมีความสับสนวุ่นวาย และถกเถียงกันในเรื่องกำหนดการเลือกตั้ง จนกระทั่งด่าว่าสาปแช่งใครต่อใครไม่เว้นแม้กระทั่ง กกต. ว่าไม่กำหนดการเลือกตั้งทำให้เลือกตั้งไม่ได้หรือต้องเลื่อนการเลือกตั้ง จนกระทั่งเดือดร้อนถึง กกต. ต้องให้ประธาน กกต. ออกมาแถลงว่ายังไม่ถึงขั้นตอนนั้น
ก็ต้องบอกให้ได้ทราบทั่วกันว่า ตราบใดที่ไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ตราบนั้น กกต. ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะประกาศรับสมัครรับเลือกตั้ง และไม่มีอำนาจที่จะกำหนดวันเลือกตั้ง
เพราะรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งบัญญัติชัดเจนว่า ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการขอรับพระราชทานเพื่อตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ภายในเวลา 90 วัน นับแต่กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งใช้บังคับ ซึ่งหมายความว่าทันทีที่กฎหมายเลือกตั้งประกาศใช้บังคับคือวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องขอพระราชทานตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป และจากนั้นก็เป็นหน้าที่กกต. ที่จะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2561 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก่อนเพื่อนก็คือการที่รัฐบาลขอรับพระราชทานเพื่อให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งขณะนี้แม้จะมีการแถลงเรื่องนี้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ไปแล้ว แต่ถึงวันนี้ก็มีข้อสงสัยร่ำลือกันเป็นอันมากว่า ได้มีการขอตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่าจะมีการเสนอตราพระราชกฤษฎีกาในเร็วๆ นี้ จึงทำให้สับสนว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่
ดังนั้นขั้นตอนสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการเลือกตั้งในขณะนี้จึงอยู่ที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะดำเนินการขอรับพระราชทาน
เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วนั่นแหละ กกต. จึงมีอำนาจจัดการเลือกตั้งได้ จึงควรเข้าใจให้ตรงกันว่าโดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปคือกฎหมายที่ตราโดยอาศัยอำนาจแห่งรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจ กกต. จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาแล้ว กกต. จะมีอำนาจดังต่อไปนี้คือ
ข้อแรก ประกาศรับสมัครรับเลือกตั้ง และตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งไม่รับสมัครผู้ที่ขาดคุณสมบัติและรับรองผู้ที่มีคุณสมบัติให้มีสิทธิ์รับสมัครรับเลือกตั้ง และรับรองสิทธิ์ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ซึ่ง กกต. ยืนยันว่าจะออกประกาศได้ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 5 วัน นับแต่วันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป
ทั้งนี้วันออกประกาศ กับวันรับสมัครรับเลือกตั้งและวันรับรองผลการสมัครรับเลือกตั้งก็ต้องใช้เวลา ซึ่งอาจจะไม่น้อยกว่า 15 วัน มิฉะนั้นก็จะสมัครไม่ทัน ตรวจสอบคุณสมบัติไม่ทัน และโต้แย้งคัดค้านไม่ทัน
ข้อสอง ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งปกติจะต้องมีเวลาให้พรรคการเมืองต่างๆ หาเสียงเลือกตั้งประมาณ 45-60 วัน หลังวันรับสมัครรับเลือกตั้ง วันเลือกตั้งนี้ไม่ใช่วันเลือกตั้งแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเพราะในวันเลือกตั้งนั้นยังไม่รู้ว่าใครจะเป็น สส. และยังไม่ได้ สส. เลยแม้แต่สักคนเดียว แม้จะทราบผลการนับคะแนนแต่ก็ยังไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะความเป็น สส. จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว
ข้อสาม ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง โดยจะต้องได้จำนวน สส. ไม่น้อยกว่า 95% เพื่อให้สามารถประกอบพระราชพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกได้ โดยระยะเวลานับแต่วันเลือกตั้งถึงวันประกาศรับรองผลการเลือกตั้งนั้นต้องไม่เกิน 60 วัน และก่อนที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งนั้น กกต. ยังมีอำนาจดังต่อไปนี้
สืบสวน สอบสวน เกี่ยวกับการเลือกตั้งเขตใดเขตหนึ่งหรือหลายเขต หรือสอบสวนผู้สมัครคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนว่าได้กระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือได้ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรมหรือไม่
ออกใบเหลือง หรือออกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แทนการเลือกตั้งที่ออกใบเหลือง ใบแดงนั้น ซึ่งอาจจะมีการเลือกตั้งครั้งเดียวหรือหลายครั้ง เพราะยังคงเป็นอำนาจของ กกต. ที่จะประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยไม่ต้องตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งอีก
และในพลันที่ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งโดยได้ สส.ไม่น้อยกว่า 95% แล้ว ก็ถือได้ว่าการเลือกตั้งเสร็จสิ้นตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว กกต. หมดอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปนั้น
แต่ กกต. ก็ยังมีอำนาจที่จะสืบสวนสอบสวนการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือที่ไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมต่อไป และมีอำนาจร้องต่อศาลให้เพิกถอนสมาชิกภาพ สส. ที่ได้รับรองไปแล้ว จากนั้นก็ต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งซ่อมต่อไป
ก็จะเห็นบทบัญญัติของกฎหมายได้ชัดเจนว่า เลือกตั้งเสร็จหรือไม่เสร็จแม้กระทั่งบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับหลักการนี้ทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงต้องเลิกหลงประเด็นเรื่องกำหนดการเลือกตั้งเสียที! และต้องจับตาดูประเด็นสำคัญคือพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ก็จะแก้ไขปัญหาความสับสนวุ่นวายในบ้านเมืองได้ไปเปลาะใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี