ตลอดชีวิต ผมได้ยินคำปรารภจากบุคคลในเครื่องแบบชายชาติทหารหาญหลายครั้งว่า“ไม่อยากทำการปฏิวัติอีก” หรือ “ไม่อยากเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ด้วยวิธีการการใช้กำลังทัพเข้ายึดอำนาจ”
ผมฟังแล้ว ผมเชื่อในความจริงใจ จริงจัง ของนายทหารผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรีเหล่านี้
โดยการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจครั้งล่าสุดโดยฝ่ายกองทัพ ผมเองก็หวังไว้ว่า ทหารหาญผู้กล้าหาญ ผู้อาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองก็จะได้จัดการ“ปูโต๊ะ” การบ้านการเมืองของไทยเราเสียใหม่หมด รวมทั้งมีการดำเนินการสืบสวน และสรุปข้อเท็จจริงถึงที่ไปที่มาของเหตุการณ์ขัดแย้ง ยุ่งเหยิง ให้สังคมได้รับทราบ ได้ยอมรับ ได้ให้อภัย ได้ใช้เป็นบทเรียน และก็เลิกรากันไปด้วยความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อสังคมไทย จะได้เริ่มต้นกันใหม่
คู่ขนานไปกับเรื่องสมานฉันท์ ผมก็คิดว่าจะมีการดำเนินการอย่างทันทีทันควันในเรื่องการปฏิรูประบบยุติธรรม และเรื่องการปฏิรูประบบการเมืองการปกครองด้วยการลดอำนาจส่วนกลางไปเพิ่มให้กับท้องถิ่น โดยเปิดประตูให้ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วมในความเป็นไปของบ้านเมือง อย่างถึงแก่นถึงสารมากขึ้น ภายใต้กรอบของสังคมเสรีประชาธิปไตย ที่จะก้าวหน้าก้าวไกลไปกว่าที่เคยระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 และปี 2550
แต่การณ์กลับมิได้เป็นเช่นนั้น
กล่าวคือ สังคมไทยมิได้มีการ “ปูโต๊ะ” เพื่อกลับสู่การเป็นเสรีประชาธิปไตย ที่สนับสนุนการมีบทบาท และความเป็นเจ้าของอำนาจของปวงชนชาวไทยยิ่งๆ ขึ้น แต่กลับกลายไปเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยชนิดถอยหลังเข้าคลอง คือเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ เป็นประชาธิปไตยที่ตอบสนองพวกอำนาจนิยมมากกว่าพวกกระจายอำนาจ
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
นั่นก็เพราะว่า ฝ่ายกองทัพผู้ชำนาญการ ด้านการปฏิวัติรัฐประหารได้ทบทวน แล้วเห็นว่า ทุกๆ ครั้งที่กองทัพยึดอำนาจแล้ว ก็ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชนไปเลือกตัวแทนหรือผู้แทน หลังจากนั้นบรรดาผู้แทน ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ ก็เอาความไว้วางใจและอำนาจของประชาชนไปปู้ยี่ปู้ยำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพื่อจะหยุดยั้งวงจรอุบาทว์ดังกล่าว ก็ด้วยการที่กองทัพจะไม่กลับสู่ค่ายทหารอีกต่อไป โดยจะตั้ง “ค่ายทหาร”อยู่ในวิธีการเมืองไทยเป็นการถาวรเลยจะได้ผลดีกว่า ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปปฏิวัติรัฐประหารกันอีกต่อไป เพราะกองทัพจะสามารถคุมพวกฝ่ายพรรคการเมือง และนักการเมืองอาชีพได้
เมื่อสรุปความเช่นนี้แล้ว ฝ่ายกองทัพก็เดินหน้าเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ผู้แทนกองทัพได้มีที่นั่งถาวรในวุฒิสภา รวมทั้งให้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ หลังจากนั้นฝ่ายกองทัพก็ไปรวบรวมฝ่ายพลเรือน และเพื่อนอดีตทหารมาตั้งพรรคการเมือง จะได้เป็นใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร เรียกว่าฝ่ายกองทัพมุ่งที่จะคุมเสียงทั้งสภาสูงและสภาล่าง ซึ่งสภาล่างมาจากการเลือกตั้ง เมื่อสามารถมีเสียงข้างมากได้ ก็จะมีทั้งความถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย และความชอบธรรม โดยคาดการณ์ว่าพรรคของตนก็ต้องเป็นพรรคที่ตั้งรัฐบาล มิฉะนั้นแล้วจะตั้งพรรคขึ้นมาทำไม ทั้งพลังอำนาจ พลังทุนทรัพย์ก็ล้นเหลือ
สรุปความได้ว่า เมื่อกองทัพจะไม่ออกมาปฏิวัติรัฐประหารอีก ก็คือ กองทัพจะอยู่กำกับในการบริหารอำนาจรัฐไปเสียเลย
ซึ่งก็เท่ากับว่า หลังจากนี้ไป
1. ฝ่ายกองทัพถือเป็นองค์กรการเมืองถาวรองค์กรหนึ่งของไทย
2. การให้ฝ่ายข้าราชการประจำ (กองทัพ)อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของฝ่ายการเมือง (พลเรือน) ตามหลักสากลนั้น จะถูกยกเว้นในกรณีของประเทศไทย
3. การแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ไม่เพียงพอแล้ว เพราะจะมีฝ่ายอำนาจกองทัพขึ้นมา เป็นตัวเล่นที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ซึ่งดูน่าเกรงขามกว่า 3 สถาบันดังกล่าว
อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาโครงสร้างการบ้านการเมืองเพื่อไม่ต้องมีการปฏิวัติรัฐประหารด้วยฝีมือทหารอีก ด้วยวิธีดังกล่าวก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือการปฏิวัติและรัฐประหารโดยภาคประชาชน ซึ่งการหลีกเลี่ยงนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานปัจจัยของฝีไม้ลายมือ ในการบริหารประเทศให้เศรษฐกิจดี และมีการกระจายรายได้ที่เหมาะสม โดยความเก่งกาจดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้ความซื่อสัตย์สุจริตของผู้มีอำนาจ ซึ่งหากขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไป ก็จะเป็นการท้าทาย และดูถูกดูแคลนประชาชน และจะนำไปสู่การถูกไล่ลงจากเวทีการเมืองได้อย่างไม่ทันรู้ตัว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี