วาทะของนักการเมืองที่ให้สัญญาระหว่างหาเสียงในการเลือกตั้งมีทั้งสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ แต่นักการเมืองทุกคนโดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งและตัวนักการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งต่างก็ต้องการชัยชนะในการเลือกตั้ง จึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้ชัยชนะ การให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งก็เพื่อที่จะเข้าไปมีอำนาจในการบริหารประเทศโดยนำนโยบายที่พรรคตนเห็นว่าจะสร้างความเจริญให้แก่สังคมและประชาชน ฉะนั้นเพื่อที่จะได้ชัยชนะจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะได้เสียงสนับสนุนจากผู้ลงคะแนน
ในกรณีสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น พฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมืองจะต้องอยู่ในขอบเขตแห่งความเป็นจริง มิใช่สักแต่ว่าพูดเพื่อให้ได้คะแนนนิยมแต่เพียงอย่างเดียวโดยปราศจากความรับผิดชอบ เมื่อได้รับชัยชนะแล้วก็ประพฤติและปฏิบัติต่างไปจากคำมั่นสัญญาโดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตยฟันปลอม เพราะนักการเมืองในสังคมดังกล่าว มองการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ จึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้ความต้องการของตนประสบความสำเร็จ แต่เมื่อได้อำนาจในการบริหารประเทศแล้วมิได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ส่งผลให้เกิดวงจรอุบาทว์โดยไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับการเมืองของประเทศไทยนั้นนับแต่คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติล้มล้างการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยอ้างว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่ผลที่เกิดขึ้นทางปฏิบัติหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเวลาที่ผ่านมาเป็นเวลากว่า 86 ปี ประเทศไทยเกือบไม่เคยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแบบสากลเลย เพราะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารและมีรัฐบาลภายใต้คณะปฏิวัติผลัดกันปกครองประเทศกับนักการเมือง มีเพียงสองวาระเท่านั้น คือ เมื่อ พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2535 ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งรัฐบาลด้วยพระองค์เอง เนื่องจากการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาลกับขบวนการนิสิต นักศึกษา และประชาชน กับอีกครั้งหนึ่งเกิดจากผู้มีอำนาจตระบัดสัตย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้พระราชอำนาจยุติเหตุการณ์ที่เกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง
อย่างไรก็ดี การปฏิวัติครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 เกิดขึ้นจากคณะทหารทำการปฏิวัติเพื่อยุติเหตุการณ์ที่เกือบจะทำให้ประเทศเป็นรัฐที่ล้มเหลว โดยผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) และจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาจนถึงปัจจุบันโดยสัญญาว่าจะคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2560 และสัญญาว่าจะให้มีการเลือกตั้ง แต่จนบัดนี้ยังไม่กำหนดวันและเวลาในการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ตัวพลเอกประยุทธ์ ในฐานะองค์อธิปัตย์ทำหน้าที่เป็นคนกลางกำลังจะเปลี่ยนฐานะเป็นผู้เล่นเสียเอง เพราะมีการเตรียมการโดยผู้ใกล้ชิดตั้งพรรคการเมืองโดย “ดูด” เอาอดีตนักการเมืองที่เคยประณามว่าอยู่ในกลุ่มที่มือไม่สะอาดเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนในการทำงานการเมืองและมีโอกาสที่พลเอกประยุทธ์จะหวนกลับมาเป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศอีก (เพราะมีสมาชิกสภาแต่งตั้งถึง 250 คน เป็นฐานรองรับอยู่แล้ว)
แต่บรรยากาศทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญจะไม่เหมือนกับปัจจุบันซึ่งความกดดันที่รัฐบาลในอนาคตจะทำให้พลเอกประยุทธ์ (ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี) จะต่างจากเป็นนายกรัฐมนตรีจากการปฏิวัติอย่างมาก ซึ่งสิ่งที่พลเอกประยุทธ์คาดหวังที่จะให้เกิดขึ้นจะไม่เป็นไปเพราะสภาพแวดล้อมไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในฐานะองค์อธิปัตย์กับการเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญอาจยากที่จะเป็นไปได้ เพราะการเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีฝ่ายค้านร่วมบริหารประเทศด้วยจะทำให้การบริหารไม่เหมือนอย่างที่ผ่านมาแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี