ช่วงก่อนสิ้นปี 2561 ที่ผ่านมา “ศาลจังหวัดสงขลา มีคำพิพากษาเมื่อ 27 ธ.ค. 2561 วินิจฉัยว่าการชุมนุมต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ” โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 27 พ.ย. 2560 ครั้ง นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงพื้นที่ตามกำหนดการคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ จ.สงขลา กลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าต้องการแสดงออกแต่กลับถูกเจ้าหน้าที่สกัดกั้น
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา เขียนบทความ “ผลการพิพากษาคดีเดินเทใจให้เทพา ไปยื่นหนังสือคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินแก่นายกฯประยุทธ์!” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว อธิบายทีละประเด็นที่ศาลวินิจฉัย ตั้งแต่ 1.นี่เป็นการชุมนุมสาธารณะหรือไม่? ศาลพิจารณาว่า นี่คือการชุมนุมสาธารณะตามเนื้อความใน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะปี 2558
2.เป็นการชุมนุมสาธารณะที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? ศาลชี้ว่า ผู้จัดการชุมนุมไม่ได้ขออนุญาตก่อนชุมนุมตามเวลาที่กฎหมายกำหนดคือก่อน 24 ชั่วโมง จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุม ลงโทษปรับจำเลย 2 คน ที่เป็นผู้จัดการชุมนุมคนละ 5,000 บาท 3.ด้ามธงเป็นไม้ยาวผูกผ้าเขียวที่นำมาในการชุมนุมถือเป็นอาวุธหรือไม่? ศาลชี้ว่า ไม่ใช่อาวุธ จึงยกฟ้องข้อหานี้
4.มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือไม่? เพราะมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 4 คน ในขณะดันกันจากการที่เจ้าหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้เดินไปยังจุดทานอาหารเที่ยง ศาลชี้ว่าเป็นการกระทบกระทั่งกันและเจ้าหน้าที่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ถือเป็นการทำร้ายเจ้าหน้าที่ จึงยกฟ้องข้อหานี้ 5.เป็นการชุมนุมที่มีการกีดขวางการจราจร? ศาลชี้ว่า ชาวบ้านไม่ได้กีดขวางการจราจร ตำรวจไปปิดทางปิดถนนกั้นกรวยต่างหาก ชาวบ้านยังชุมนุมอย่างสงบในขอบเขตกรวยที่ตำรวจกั้นทาง จึงยกฟ้องข้อหานี้
และ 6.มีการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่? ศาลชี้ว่า ผู้ชุมนุมมีการส่งตัวแทนเจรจา พูดคุย ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มาตลอด จึงยกฟ้องข้อหานี้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า “ผู้ชุมนุมคดีเทใจให้เทพา มีความผิดข้อหาเดียวคือ ผิดทางเทคนิคตาม พ.ร.บ.ชุมนุม ที่ขออนุญาตการชุมนุมไม่ครบ 24 ชั่วโมง” ปรับ 2 จำเลยคนละ 5,000 บาท ส่วนข้อหาอื่นเป็นยก
“คดีนี้เป็นคดีที่รัฐตั้งใจใช้คดีเพื่อปิดปากประชาชน เพื่อให้ชาวบ้านเหนื่อยยากลำบากในการคัดค้าน คดีนี้ยังไม่จบ รอดูต่อไปว่า อัยการจะอุทธรณ์คดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม อาจารย์นิติศาสตร์ มอ. (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) บอกว่า รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิการชุมนุม แต่ พ.ร.บ.ชุมนุมที่ศักดิ์เล็กกว่ามาจำกัดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นี่ยังเป็นอีกประเด็นปัญหาความเป็นธรรม” นพ.สุภัทร กล่าว
เรื่องของปัญหาจาก พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ถูกพูดถึงตั้งแต่เมื่อครั้งที่รัฐบาลทหาร คสช. เริ่มเข้าบริหารประเทศในปี 2557 โดย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในขณะนั้น)เป็นผู้เสนอไปยัง ครม. จากนั้นวันที่ 18 พ.ย. 2557 ครม. ได้รับหลักการ ก่อนเริ่มร่างกฎหมายและผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จนประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 14 ก.ค. 2558
ณ เวลานั้น สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่มีประธานคือ ศ.ดร.คณิต ณ นคร ตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายดังกล่าว “กระทบสิทธิในการแสดงออกโดยสงบของประชาชน ซึ่งเป็นสิทธิตามครรลองในระบอบประชาธิปไตย” อาทิ ประเด็น “การห้ามชุมนุมใกล้กับทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาไม่สอดคล้องกับสภาพการใช้เสรีภาพในการชุมนุม เพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น” ทั้งนี้ในเวลาต่อมา คปก. ได้ถูกยุบไปด้วยอำนาจพิเศษมาตรา 44 ในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 20/2558 เมื่อ 15 ก.ค. 2558
หรือต่อมาในเดือนธ.ค. 2560 ซึ่งเป็นช่วงใกล้เคียงกับที่มีการชุมนุมต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ให้ความเห็นว่า “ที่ผ่านมาการชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการต่อต้านรัฐบาล ตรงกันข้ามกลับเป็นการชุมนุมเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เช่น การชุมนุมคัดค้านการก่อสร้างโรงงานน้ำตาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือการคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาในภาคใต้
“ที่ผ่านมาเราก็จะเห็นว่ายังไม่มีการชุมนุมที่เป็นการยั่วยุหรือทำให้เกิดความไม่สงบ เวลาที่เจ้าหน้าที่ตีความ ก็อยากจะขอว่าให้มองชาวบ้านในแง่ดี มองว่าการที่ชาวบ้านมาจับกลุ่มพูดคุยหรือคัดค้านธุรกิจบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน มันก็เป็นสิทธิที่ชาวบ้านจะทำได้ ถ้าหากว่าพยายามมองในแง่ดีก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ที่ผ่านมาพอชาวบ้านจะจับกลุ่มพูดคุยกับปุ๊บ พอเกิน 5 คน ก็เอาเลย”กสม.อังคณา กล่าว
อีกความเห็นหนึ่งที่แม้จะไม่ได้พูดถึง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 โดยตรง แต่ก็ย้ำในทางเดียวกันว่าการชุมนุมเป็นวิธีการต่อสู้ของคนเล็กคนน้อย สาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวในงานแถลงข่าว “จับตาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและขจัดการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ทิศทางและระดับการคุ้มครองแรงงานในประเทศไทย” เมื่อเดือนก.ย. 2561 ว่า การชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิในการแสดงออกและเป็นอำนาจการต่อรองขั้นสูงสุดของผู้ใช้แรงงาน เช่นเดียวกับฝ่ายนายจ้างที่อำนาจต่อรองสูงสุดคือการปิดงาน
“การวิตกกังวลเรื่องการหยุดงานหรือการรวมกลุ่มรวมตัว ผมคิดว่าคนที่มารวมกลุ่มรวมตัวมันไม่ใช่รวมกันบนวิถีทางของการนำไปสู่การกระทำความผิด เราต้องสืบเสาะแสวงหาก่อนว่าเหตุที่เขามาชุมนุมประท้วงมันมีที่มาที่ไป ที่ผ่านมามันไม่เคยเห็นว่าอยู่ดีๆคนงานลุกขึ้นมาชุมนุมประท้วงปิดกิจการปิดถนน นอกจากมีเหตุปัจจัยเบื้องต้นที่ก่อให้เกิดว่าเขา
ไม่สามารถทนทำงานนั้นอยู่ต่อไปได้” เลขาธิการ สรส. ระบุ
แม้จะเข้าใจได้ว่าภาครัฐต้องการกฎหมายควบคุมการชุมนุมเนื่องจากตลอดสิบกว่าปี ล่าสุดมีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ที่ส่งผลกระทบมากทั้งยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน เผาสถานที่ราชการ แต่ผลหลังจากการมีกฎหมาย “คนระดับฐานรากในสังคมได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถแสดงออกให้ภาครัฐหันมาสนใจได้” ไม่ว่ากลุ่มเกษตรกรที่ราคาผลผลิตตกต่ำ กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ตกอยู่ภายใต้สภาพการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยกลุ่มทุนใหญ่และมีภาครัฐให้การสนับสนุน
กฎหมายที่ “ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ” แบบนี้...สมควรถูกแก้ไขหรือยกเลิกหรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี