ก้าวข้ามปีใหม่เพียงแค่ครึ่งเดือนมกราคม กลับมีข่าวความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นจนหน้าตกใจเฉลี่ยทั้งหมด 28 ข่าว ทั้งข่าวฆ่ายกครัว รักต้องฆ่าทำร้ายร่างกายสาหัสที่น่าตกใจคือมีคนเสียชีวิตถึง 33 คน สาเหตุสำคัญนอกจากการหึงหวงยังมีเรื่องของสุรา ยาเสพติดและความแค้นนอกจากปัจจัยนี้แล้วยังมีการละเลยจากผู้คนในสังคมการนิ่งเฉยแม้กระทั่งรัฐบาล เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังเงียบไม่ออกมาทำอะไรไม่ต่างจากเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้ความขัดแย้งในครอบครัวยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น
ล่าสุดในเวทีเสวนา“วิกฤติความสัมพันธ์ในครอบครัวสู่ฆ่าตกรรมและความรุนแรง” จัดโดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์และคณะทำงานปกป้องเด็กและเยาวชนจากปัจจัยเสี่ยงทางสังคม โดย จะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลฉายภาพให้เห็นสถานการณ์ความรุนแรงว่าสาเหตุที่ก่อให้เกิดความรุนแรง คือ เมื่อเกิดเหตุที่จะนำไปสู่อาชญากรรมได้ตำรวจกลับไม่ยอมเข้ามาจัดการยังคงเน้นเพียงไกล่เกลี่ยทั้งที่ควรต้องควบคุมห้ามปรามแจ้งข้อกฎหมายให้รับทราบไม่อย่างนั้นผู้ชายจะไม่ยอมหยุดกระทำได้ใจและนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น
ยังมีหลายกรณีที่คนหรือชุมชนไม่เข้าไปช่วยมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวรวมถึงสาเหตุที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติดเข้ามากระตุ้นให้เกิดความรุนแรงลุกลามมากขึ้น ขณะเดียวกันจะเห็นได้ว่าสังคมสมัยนี้การสื่อสารพูดคุยในครอบครัวน้อยลงหันไปใช้สื่อโซเชียลมากขึ้นอารมณ์ฉุนเฉียวหงุดหงิดง่ายก็ตามมาทำให้ปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ระบุด้วยว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเหมือนสงครามอาชญากรรมขนาดใหญ่และทวีความรุนแรงเพราะมีการใช้อาวุธปืนมันเป็นเรื่องของความตายแต่รัฐกลับนิ่งเฉยทางออก คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรตื่นตัวมีหน่วยงานเฝ้าระวังตั้งวอร์รูมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์แต่ละพื้นที่บูรณาการกับหน่วยงานทุกฝ่าย เช่น มท. สธ. ตำรวจและหน่วยงานแจ้งเหตุทั้งตำรวจ และ 1300 ต้องทำเร่งด่วนช่วยเหลือได้ทันทีไม่ใช่ปล่อยไว้จนเกิดเหตุสูญเสียมียุทธวิธีในการระงับเหตุอย่างมืออาชีพ
หากจะให้ได้ผลจริงต้องทำงานระยะยาวรณรงค์ปรับเปลี่ยนวิธีคิดชายเป็นใหญ่เคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายทำหลักสูตรตั้งแต่ชั้นเรียนประถม ซึ่งความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นไม่ได้หมายความว่าเป็นใบอนุญาตให้สามีหรือผู้ชายที่เป็นคู่รักทำอะไรก็ได้ ซึ่งผู้หญิงหรือคนในครอบครัวไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของผู้ชายสังคมต้องช่วยกันเฝ้าระวังคอยจับสัญญาณแทรกแซงหรือแจ้งเหตุโดยเร่งด่วนถ้าปล่อยไว้ก็จะเป็นโศกนาฏกรรมรายวันส่งผลต่อเยาวชนที่ซึมซับความรุนแรงและสิ่งนี้จะย้อนกลับมาสู่สังคม
ความรุนแรงในครอบครัวทุกวันนี้ไม่ใช่ภาวะปกติเพราะแม้แต่กฎหมายพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวพ.ศ.2550 ยังเอาไม่อยู่ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ร่วมสังเกตจับสัญญาณความผิดปกติ สัญญาณความเสี่ยงหากลไกเข้าไปช่วยเหลือหยุดการกระทำอย่างมีสติไม่ใช่เข้าไปเพื่อประจาน ที่สำคัญสื่อมวลชนก็ต้องไม่สุมไฟ แต่ควรตระหนักในการนำเสนอข่าวให้รอบคอบไม่ละเมิดสิทธิ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี