ความเสียหายบรรลัย จากการขายข้าวสารและมันสำปะหลังจากการรับจำนำ โดยอ้างว่าขายแบบจีทูจี หรือรัฐต่อรัฐ ในยุครัฐบาลที่ผ่านมา แท้จริงคือ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
มีคนอิ่มหมีพีมัน กระเป๋าตุง กินส่วนต่างโดยมิชอบ
1. สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น หากบ้านเมืองเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น คือ ลากคอคนโกงเข้าคุกทั้งหมด ทั้งคนสั่งการ คนบงการ คนกระทำการ และคนได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ทั้งแก๊ง
ยึดทรัพย์กลับคืนแผ่นดินให้หมด
เอาหลาบจำไปชั่วลูกชั่วหลาน
การเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่ใช่ใบอนุญาตให้โกงได้
และแน่นอน วางบรรทัดฐานไว้ชัดๆ ไม่ว่าใคร มาจากพรรคการเมืองไหน ก็ไม่สามารถจะทุจริตจีทูจีแบบที่เคยทำกันไปแล้วนั้นได้อีก ถ้าใครทำแบบนั้นอีก ก็จะต้องถูกลงโทษ ติดคุก ยึดทรัพย์เช่นกัน
2. หากไม่จัดการเด็ดขาด ต่อไป นักการเมืองชั่วก็จะหากินแบบนี้อีก
วางแผน เตรียมการมาโกง
หาเสียงด้วยนโยบายรับซื้อ-รับจำนำพืชผลการเกษตรในราคาแพงกว่าท้องตลาดลิบลิ่ว เพื่อกวาดเอาพืชผลการเกษตรเข้ามาไว้ในมือรัฐทั้งหมด โดยใช้เงินแผ่นดิน เงินจากธนาคารของรัฐเป็นหน้าตัก ซึ่งชาวนาและเกษตรกรก็จะนิยมเพราะได้ราคาสูงกว่าปกติ หลังจากนั้น ก็ให้ระบายสินค้าเกษตรเหล่านั้น โดยอ้างว่าเป็นการขายจีทูจี แต่ให้พ่อค้าพวกพ้องสวมเข้ามาซื้อในราคาต่ำกว่าท้องตลาด โดยไม่ต้องประมูล เพื่อนำไปหากิน ขายต่อ กินส่วนต่าง พุงกาง กระเป๋าตุง
ง่ายๆ แบบนี้
จะจะแบบนี้
มันเคยมีนักการเมืองเลวชาติ ทำกันมาแล้ว
3. ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
เป็นผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการศึกษาปัญหาการทุจริตเพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริต ที่ศึกษาโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวแบบจีทูจี ปี 2554-57 ที่มีการทุจริตและสร้างความเสียหาย เพื่อศึกษาปัญหาและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาในอนาคต ไม่ให้เกิดการทุจริตได้อีก
ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย ระบุดังนี้
1.รัฐบาลต้องมีนโยบายชัดเจนที่มุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง สามารถช่วยเหลือสินค้าเกษตรให้มีราคาสูงขึ้นโดยใช้กลไกของการเพิ่มตลาดและลดต้นทุนการผลิต
2.การระบายข้าวแบบจีทูจี ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน คำนึงถึงต้นทุนและผลประโยชน์ของนโยบาย โดยเฉพาะภาระทางการคลัง
3.คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ควรกำหนดกรอบนโยบายและเป้าหมายของการบริหารจัดการเรื่องข้าวในแต่ละปีอย่างเหมาะสม
ส่วนข้อเสนอเรื่องการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ คือ
1.ขั้นตอนก่อนการระบายข้าว ควรให้ข้าราชการประจำของกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว เพื่อระบายข้าวอย่างเหมาะสมภายใต้กรอบนโยบายและความรับผิดชอบที่ชัดเจนของรัฐบาล โดยควรมีช่องทางการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และเปิดรายงานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวต่อสาธารณะ นอกจากนั้น ให้กรมการค้าต่างประเทศกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือคู่มือ เพื่อใช้อ้างถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการกำหนดให้มีการระบายข้าวแบบจีทูจี
2.วิธีการระบายข้าว ควรให้กรมการค้าระหว่างประเทศพิจารณาระบายข้าวด้วยวิธีอื่น อาทิ การระบายข้าวให้บริษัทเอกชนในประเทศอย่างโปร่งใส ซึ่งจะต้องเป็นผู้ค้าข้าวจริงไม่ใช่นายหน้า และควรส่งเสริมการระบายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งระบายข้าวที่สำคัญต่อไป
3.ขั้นตอนการพิจารณาสัญญาก่อนลงนามในสัญญาระบายข้าว ให้กรมการค้าต่างประเทศ จัดทำสัญญามาตรฐานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศแบบจีทูจี โดยคำนึงถึงการตรวจสอบ
คู่สัญญาเกี่ยวกับสถานะเป็นตัวแทนของรัฐบาลกลางที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น วิธีการส่งมอบข้าว ไม่ควรส่งมอบข้าวแบบหน้าคลังสินค้า และควรกำหนดวิธีการควบคุมเพื่อให้มีการส่งออกไปต่างประเทศจริง วิธีการชำระเงิน ควรชำระผ่านทางธนาคาร โดยวิธีเปิด Letter of Credit (L/C) ส่วนราคาข้าว ไม่ควรกำหนดราคามิตรภาพ
หรือราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ทั้งนี้การกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว อาจดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานอัยการสูงสุด
4. การเปิดเผยข้อมูลการขายข้าวแบบจีทูจีให้สาธารณชนทราบ โดยให้กรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยสัญญาจีทูจีทั้งฉบับ แต่หากไม่สามารถเปิดเผยสัญญาทั้งฉบับได้ ควรเปิดเผยข้อมูลในส่วนของ ปริมาณข้าว ชนิดของข้าว ราคาข้าว วิธีการส่งมอบข้าว และการชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบได้
หลังจากนี้ ตามขั้นตอนทั่วไป ป.ป.ช.จะดำเนินการส่งข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 32 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตต่อไป
4. ข้อเสนอแนะและมาตรการข้างต้น นับว่ามีประโยชน์
สมควรที่รัฐบาล คสช.จะนำไปดำเนินการ และปฏิบัติต่อไปในรัฐบาลทุกชุด
อันที่จริง กรณีที่มีการโกงข้าวจีทูจี ไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองทั่วไป พรรคการเมืองทั่วไป กระทำกันทั่วไป
แต่เป็นเรื่องเฉพาะ ต้องนักการเมืองสายพันธ์ุขี้โกง หน้าด้าน และลำพองใจในอำนาจของตนเท่านั้นจึงกล้าทำ
ลองคิดดู เขาเคยทำกันถึงขนาดไหน
1. เสนอแผนยุทธศาสตร์ขายข้าวจีทูจีแบบเก๊ๆ ให้ตัวนายกรัฐมนตรีขณะนั้นเห็นชอบก่อนเริ่มโครงการไม่กี่วัน แถมไม่เอาเข้าที่ประชุมนโยบายข้าว
2. ก่อนเริ่มโครงการจำนำข้าวเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2554 มีพฤติการณ์เร่งขายข้าวแบบจีทูจีไปจำนวน 2 สัญญา อย่างรีบร้อน เป็นการขายล่วงหน้าโดยที่ยังไม่ได้ซื้อข้าวมาจากชาวนา ข้าวยังอยู่ในแปลงนาของชาวนาด้วยซ้ำ แต่มันตกลงขายข้าวจีทูเจี๊ยะในราคาถูกกว่าท้องตลาดให้พ่อค้าไว้ก่อนแล้ว
จากนั้น ทำสัญญาจีทูจีโดยทุจริตเพิ่มอีก 6 ฉบับ รวมเป็น 8 ฉบับ ปริมาณรวมกว่า 20 ล้านตัน
ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด
เหมือนนำสมบัติของชาติไปขายในราคาถูก
โดยไม่ปรากฏว่ามีข้าวส่งออกไปยังรัฐบาลจีนแต่อย่างใด
3. มีการแก้ไขสัญญากันหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนเป็นฝ่ายเอกชนได้ประโยชน์ รัฐเสียประโยชน์
4. พ่อค้าทั่วไปในวงการข้าว รู้กันหมด ว่าช่วงนั้น ถ้าอยากได้ข้าวจะต้องไปซื้อจากใคร ทั้งๆ ที่ ไม่มีการเปิดประมูลทั่วไป มีแต่ขายจีทูจีหรือรัฐต่อรัฐ แต่พ่อค้าเอกชนถ้ายอมจ่ายเงินให้คนของเขา ก็สามารถจะได้ข้าวจากโกดังของรัฐไปค้าขายหากิน
5. ในคำแถลงปิดคดีจำนำข้าวของอัยการ “ทนายความแผ่นดิน” ได้ฝากบทเรียนไว้อย่างเฉียบคม
ควรที่ทุกฝ่ายจะนำมาเป็นบทเรียน เพื่อมิให้เกิดการทุจริตโกงกินในนโยบายที่ใช้เงินแผ่นดินมหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นนี้อีกในอนาคต ความบางตอนว่า
“...กลับปรากฏว่า มีการนำข้าวมาเวียนขายให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศ ในลักษณะทำนองผูกขาดการซื้อขายข้าวในความครอบครองของรัฐบาล โดยมีบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กับพวก และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ที่เป็นพวกพ้องของนายทักษิณ เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง โดยได้ทั้งเงินและส่วนต่างข้าวไปเป็นจำนวนมากอย่างอิ่มหมีพีมัน อันเป็นนโยบายประชานิยมที่นำไปสู่การทุจริตเชิงนโยบายของพวกพ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่แอบแฝงซ่อนเร้นไปด้วยกลโกงในการรับจำนำข้าวโดยเอาผลประโยชน์ชาวนามาบังหน้า ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างร้ายแรงจนยากจะเยียวยา อันไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน กขช. ต้องรับผิดชอบในผลของการกระทำหรือการดำเนินนโยบาย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอำนาจระงับยับยั้งการปฏิบัติราชการใดๆ ในที่นี้คือการซื้อขายข้าวจีทูจีที่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายดังกล่าว แต่หาได้กระทำไม่ กลับปล่อยให้มีการทุจริตและสมยอมเอื้อประโยชน์ให้มีการทุจริตต่อไปหลังจากที่ได้รับรู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏชัดแจ้งว่า ควรรู้ถึงความเสียหายและการทุจริตดังกล่าว แต่กลับเพิกเฉยละเลยต่อการใช้อำนาจปราบปรามการทุจริต และระงับยับยั้งความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวมต่อไปอีกยาวนานหลายด้าน....
...ขอศาลได้โปรดพิพากษาลงโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานตลอดจนถ้อยคำสำนวนในคดีนี้ประกอบพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่นักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทั่วไปว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นการใช้นโยบายประชานิยมที่นำไปสู่การทุจริตเชิงนโยบาย การมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ การมีผลประโยชน์ขัดกันระหว่างส่วนตนพวกพ้อง และประโยชน์ส่วนรวม ถือเป็นการบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงและร้ายแรง เป็นตัวถ่วงความเจริญพัฒนาของประเทศ เป็นเหตุให้บ้านเมืองล้าหลัง
หากนักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังลอยตัวอยู่เหนือปัญหา โดยอ้างว่าเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติ ฝ่ายบริหารซึ่งมีหน้าที่สำคัญแจ้งชัดไม่ต้องรับผิดชอบใดๆก็จะกลายเป็นว่านายกรัฐมนตรี ผู้นำประเทศ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง หรือผู้นำองค์กร จะบริหารราชการแผ่นดินอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ ไม่ต้องรับผิดในผลใดๆ ของการบริหารหรือการปฏิบัติงานของตนเองที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายต่อชาติบ้านเมืองยิ่งนัก เมื่อทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงผลร้ายของการทุจริตคอร์รัปชั่นแล้ว ย่อมทำให้บ้านเมืองไทยเจริญพัฒนาสถาพร มั่นคง และยั่งยืนถาวรตลอดไป
คดีนี้โจทก์ได้นำสืบพิสูจน์ความรับผิดชอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนชัดแจ้งเป็นที่ประจักษ์ คดีมีพยานหลักฐานหนักแน่นน่ารับฟังโดยปราศจากสงสัยแล้ว เพื่อเป็นการจารึกชื่อบุคคลที่กระทำผิดหรือมีส่วนร่วมกระทำผิดไว้ในประวัติศาสตร์การโกงชาติบ้านเมืองให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันสืบไป...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี