การลงคะแนนในบัตรเลือกตั้ง วันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ ต่างไปจากครั้งก่อนๆ คือ มีบัตรเลือกตั้งใบเดียว โดยในบัตรใบเดียวนี้ ต้องการให้ประชาชนสะท้อนความต้องการทั้งการเลือกตัวบุคคล คือ “ผู้แทนราษฎร” ในพื้นที่ การเลือกพรรค และตัวนายกรัฐมนตรี
ครั้งก่อนนี้ยังโชคดี เขาแยกบัตรให้เรา ชอบตัวบุคคลคนไหน ใส่คะแนนในบัตรเลือกตัวบุคคล ชอบพรรคไหน ใส่คะแนนในบัตร “บัญชีรายชื่อ” ครั้งนี้ไม่แล้วครับ งานหนักจึงมาตกที่ตัว “ผู้มีสิทธิออกสียงเลือกตั้ง” ว่า “จะทำอย่างไรกับบัตรใบเดียว” ใบนี้
1) ข้อดีของบัตรใบเดียวและวิธี “ใช้คะแนน” ที่ได้จากบัตรก็คือ เอาคะแนนไปกองรวมกันทั้งประเทศ แล้วดูว่าประชาชนจากทั่วประเทศประสงค์ให้แต่ละพรรคการเมืองมีจำนวน สส. เท่าไหร่ ไม่มีคะแนนไหนถูกโยนทิ้งเลย และความที่ทุกคะแนนมีความหมายเช่นนี้ โอกาสจะเกิดการซื้อเสียงก็มีมากตามมา นี่เป็นข้อด้อย ซึ่งแปลว่าต้องการการตรวจจับที่เข้มข้นและเข้มแข็ง เพราะทุกคะแนนล้วน “คุ้มค่าต่อการซื้อ”
2) สส. หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มี 2 ระบบ คือ สส.เขต กับ สส.บัญชีรายชื่อ
สส.เขตมี 350 คน จาก 350 เขต สส.บัญชีรายชื่อมี 150 คน รวมเป็น 500 คน
เขตเลือกตั้งทุกๆ เขต จะได้คนที่มีคะแนนเลือกตั้งสูงสุดในเขตนั้น (แต่ต้องไม่น้อยกว่าคะแนนโหวตโน คือ ไม่ประสงค์จะเลือกใคร) เป็น “ผู้แทน” ของเขตตัวเอง
3) แล้ว สส.ระบบบัญชีรายชื่อมาจากไหน มาจากจำนวน สส.พึงได้ ลบด้วย สส.เขตครับ กล่าวคือ เมื่อดูคะแนนรวมทั้งประเทศ เทียบสัดส่วนความต้องการของประชาชนออกมาแล้ว เขาอยากให้พรรค ก. ได้ สส. 100 คน (นี่เรียกว่า จำนวน สส.พึงได้) ปรากฏว่าพรรค ก. ได้ สส.เขตมาแล้ว 90 คน ดังนั้น พรรค ก. จะได้ สส. บัญชีรายชื่อไปเติมอีก 10 คน เพื่อให้ได้ 100 คน ตามเจตนารมณ์ของผู้เลือกทั่วประเทศ แต่ถ้า สส.เขตมากกว่าจำนวน สส.พึงได้ ก็ยกประโยชน์ให้พรรคนั้นไป
4) มีคนพยายามนำเสนอว่า ประชาชนต้องคิดให้รอบคอบนะ เพราะในบัตร 1 ใบนั้น คุณทั้งเลือกคนที่จะเป็น สส.ในเขตของคุณ เลือกพรรค ที่จะได้สัดส่วนคะแนนจากบัตรทุกใบ และเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะกฎหมายใหม่ กำหนดให้ทุกพรรคการเมืองต้องแจ้งชื่อบุคคลที่พรรคจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนทราบ และใช้ประกอบการพิจารณา นี่ทำให้หลายคนอึดอัดคับข้องใจ ทำใจลำบาก เพราะบางพื้นที่ ไม่ได้อยากได้คนคนนี้ แต่ชอบนโยบายของพรรคพรรคนี้ แล้วเกิดไม่ชอบชื่อคนจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกล่ะ โอ๊ยยย...สมองจะระเบิด
5) ใจเย็นๆ ครับ ค่อยๆ คิดไปโดยลำดับดังนี้
5.1 คะแนนในบัตรเลือกตั้ง เริ่มนับเป็นคะแนนของ “ตัวบุคคล” ก่อนใครเพื่อน ในบางเขตเลือกตั้ง คนชนะอาจได้คะแนนแค่ สี่หมื่นห้าหมื่นคะแนน ก็ชนะในเขตเลือกตั้งนั้นๆ แล้ว “ตัวคน” จึงสำคัญยิ่ง ในการนับหนึ่งเพื่อจะ “ลงคะแนน” ให้ หรือ “ไม่ลงคะแนน” ให้ คนต้องเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ ยึดโยงกับพื้นที่ เข้าใจปัญหาของพื้นที่ เพื่อนำปัญหาจากพื้นที่เสนอขึ้นไปตามระบบ ก่อนนำไปสู่การวางแนวทางแก้ไข
5.2 สส. คือ “เครื่องมือ” ในการแก้ปัญหาของเจ้าของอำนาจที่แท้จริง คือ ประชาชน สส.จึงไม่ใช่คนที่เราแค่อยาก “ตบรางวัล” ให้ เพราะเขาดีเหลือเกิน ฉันชอบเขาเหลือเกิน เขาหล่อเหลือเกิน เขาสวยเหลือเกิน แต่เขาต้องเป็น “เครื่องมือในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน” ท่องให้ขึ้นใจว่า การเลือก สส. คือการเลือกเครื่องมือทำงาน ไม่ใช่เลือกคนที่รัก พรรคที่ชอบ แต่ทำงานไม่ได้ เราไม่ได้เลือกเครื่องประดับ ส้นไม้แต่งสวน หรือของแต่งบ้าน แต่เราเลือก “คนทำงาน” ที่ต้องเป็น “เครื่องมือที่ดี” ที่มีประสิทธิภาพ
5.3 เขาเป็นเครื่องมือทำงานของใคร ตอบว่า-เป็นเครื่องมือทำงานของ “พรรค” ครับ เพราะลำพังเขาคนเดียว คงผลักดันการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ไม่ง่ายนัก พรรคจึงเป็นเครื่องจักรตัวใหญ่ ที่เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ของการแก้ไขปัญหา โดยที่ สส. เป็นฟันเฟืองหนึ่งที่สำคัญในการ “เดินเครื่อง” ของจักรกลตัวใหญ่ที่เรียกว่า “พรรค” นี้
6) นั่นทำให้เราได้คำตอบในขั้นต่อมาว่า เราเลือกคนจากเขตของเรา เพื่อไปผลักดัน “นโยบายของพรรค” ให้สัมฤทธิผล เช่น พรรคเขามีนโยบายประกันรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน เราพิจารณาแล้วว่า เป็นนโยบายที่คิดบนพื้นฐานของ “ความรับผิดชอบ” คือ ทำให้ “ประชาชนอยู่รอด และประเทศชาติอยู่ได้” ไม่ประชานิยมเกินเหตุ จนประเทศอาจล้มละลาย หวังได้คะแนนเฉพาะหน้าเพื่อชนะการเลือกตั้ง แต่ประเทศจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ
7) นโยบายของพรรคจึงสำคัญมาก สำคัญที่มันคือ “ยาแก้ปัญหา” ที่แท้จริง ในความป่วยไข้ของประชาชนและประเทศชาติ เช่น ยาแก้จน ยาแก้ความเหลื่อมล้ำ ยาแก้ปัญหาแรงงาน ยาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ยาแก้ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยาแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา ฯลฯ
8) ปัญหาของชาติบ้านเมืองมีอยู่มากมายที่รอการแก้ไข (ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาของประชาชนและเป็นปัญหาที่จะกระทบกับความเป็นอยู่ของประชาชน) พรรค = คณะบุคคล คือ “หมอ”
ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาของประเทศที่กำลังป่วยไข้ด้วยสารพัดโรครุมเร้า ในการพิจารณาจึงต้องพิจารณาทั้งคณะ ไม่ใช่วัน แมน โชว์ มาแบบ ไอ้แมงมุม มนุษย์สายฟ้า วันเดอร์ วูแม่น แบทแมน หรือขวานฟ้าหน้าดำ เราต้องการ “ดิ อเวนเจอร์” คือ คณะผู้รู้ที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยความพร้อมเพรียง แน่วแน่ สุจริต และรอบรู้ ประชาชนจึงควร “ถามถึง” หมู่คณะของบุคคลที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ในเวลาที่พรรคต่างๆ เขามาเสนอตัวหรือแนะนำตัว แนะนำนโยบาย ซึ่งเท่ากับเป็นการ “เลือกหมอ” ให้ตรงกับโรค เราจะได้ไม่เจอภาวะ หมอสูติฯ มารักษาอาการตาเจ็บ ตาอักเสบ หมอศัลยกรรมพลาสติก มารักษาโรคหัวใจ หรือหนักกว่านั้น คือ หมอผี มาแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ เป็นต้น
9) ส่วนนโยบายสะท้อนปัญญาของหมู่คณะนั้นๆ เป็นเหมือนการบอกให้เรารู้ว่า เขา “วินิจฉัยโรคและอาการ” ของประชาชนและบ้านเมืองถูกต้องไหม เราต้องการตัวแทนที่ “เห็นปัญหา-รู้ปัญหา-รู้สึกกับปัญหา” และมีสติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นๆ ในทันที ด้วยวิธีที่รอบคอบ ปลอดภัย ไม่เลี้ยงไข้ หายขาด และไม่ก่อผลข้างเคียงที่รุนแรง
ยกตัวอย่างเช่น พี่น้องชาวนามีปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เอาวิธี “รับจำนำทุกเมล็ด” มาใช้ ในราคาที่ “สูงกว่าตลาด” แน่นอน ชาวนาดีใจ ได้ประโยชน์ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ปัญหาที่ตามมาคืออะไร ตลาดถูกแทรกแซงทำลาย ไม่มีผู้ค้ารายได้ จะซื้อข้าวแข่งกับรัฐในราคาตันละ 15,000 บาทได้ พ่อค้าส่งออกที่มี “ยอดสั่งซื้อ” และ “ลูกค้าประจำ” ในมืออยู่แล้ว ต้องหันไปซื้อข้าวจากเวียดนาม กัมพูชา ส่งให้ลูกค้าของตนแทน เพื่อรักษาลูกค้านั้นไว้ แล้วประเทศไทยได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์
ใช่ ชาวนาได้ประโยชน์ แต่เป็นประโยชน์ที่เท่าเทียมกันไหม ชาวนาในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ในเขตชลประทาน ปลูกข้าวกันถี่ยิบ ขณะที่นาอีสาน นาน้ำฝน ปลูกได้ปีละกี่หน รายได้ที่เกิดขึ้น กระจุกหรือกระจาย เป็นธรรมหรือเหลื่อมล้ำ
ขณะเดียวกัน ข้าวที่ซื้อไปในราคาสูงกว่าตลาด จะเอาไปขายที่ไหนเพื่อไม่ให้รัฐ “ขาดทุนเกินจำเป็น” แน่นอน นโยบายช่วยชาวบ้าน รัฐหวังกำไรไม่ได้แน่ ผิดหลักการ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการ “ขาดทุนเกินจำเป็น” ที่จะทำให้งบประมาณติดลบ รัฐมีหนี้สินผูกพัน จนไม่มีกำลังเงินจะไปแก้ปัญหาอื่นๆ ของประชาชนกลุ่มอื่น หรือแม้แต่กลุ่มเดิมคือ ชาวนา ในฤดูกาลต่อๆ ไป นั่นทำให้ในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชาวนาจึงต้องถือใบประทวนมา “ขอเงิน” โดยที่ไม่เคยมีโอกาสได้พบกับ “ยิ่งลักษณ์” เลยสักหน เพราะอะไร เพราะรัฐบาล “ไม่มีเงินจะจ่าย”
ส่วนเงินที่นำมาจ่ายก่อนหน้านั้นก็เป็นเงินของ ธ.ก.ส. รัฐบาลยิ่งลักษณ์แอบเอาหนี้ส่วนหนี้ไปซุกไว้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นความไม่โปร่งใส หากจะกู้เงินมาใช้กับโครงการนี้ ควรเปิดเผยโดยการขออนุมัติจากสภาเพื่อขอกู้ ประชาชนก็รู้ สภาก็รู้ การตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ ก็ทำได้อย่างเปิดเผยโปร่งใส ไม่ใช่เอาหนี้ไปซุกไปซ่อน เพื่อ “แต่งบัญชี” ของรัฐบาลแบบนี้ สุดท้ายเจอใบทวงหนี้ รัฐบาลยุค คสช. กุมขมับ!! หนำซ้ำข้าวที่คาโกดังยังต้องจ่ายค่าเช้าโกดังเดือนละเป็นพันๆ ล้านบาท แถมซ้ำเติมตลาด ทำให้ราคาข้าวไม่อาจสูงขึ้น เพราะผู้ซื้อรู้ว่า มีข้าวคาสต๊อกอยู่เป็นจำนวนมากที่รอการระบายในราคาถูก
ขณะเดียวกัน ข้าวก็คาโกดัง เน่าบ้าง ดีบ้าง ปลอมปนไร้คุณภาพก็เยอะ หายไปก็แยะ ไล่ทำคดีกันไม่หวาดไม่ไหว ลอตใหญ่ก็ทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ โดยเอาสมัครพรคพวกของเครือญาติ
ทำทีเป็นตัวแทนจากจีนมาซื้อ ในราคาถูกกว่าตลาด เพราะเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ สุดท้ายถูกจับได้ว่าเก๊ ติดคุกกันไปทั้งนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์, นายภูมิ สาระผล และสมัครพรรคพวก ทั้งที่เป็นข้าราชการและเอกชน นี่จีทูจีเก๊รอบ 2 ในสัญญาที่ 2 ก็กำลังเดินหน้ากันอยู่ ดูสิ ประโยชน์นิดหน่อยของชาวนา ที่แฝงหายนะและความฉ้อฉลไว้ขนาดนี้ ยังจะเอากันอีกไหม
นี่คือตัวอย่างของการ “เลือกวิธี” คือ ไม่ใช่อะไรก็ได้ ขอให้ฉันได้ ประเทศชาติจะฉิบหาย คนชั่วจะลักลอบโกงกินในนโยบายนั้นๆ อย่างไรก็ช่างมัน!!
10) การพิจารณานโยบายขายฝันของประชาชน จึงต้อง “ลงลึกในรายละเอียด” ต้องถามถึง “วิธีการ” และ “ผลกระทบ” ด้วย ไม่ใช่คิดแค่เราได้ เราเลือก แต่ต้องคิดบนหลักการ “ประชาชน
อยู่รอด ประเทศชาติอยู่ได้”
11) สำหรับผม นโยบาย + พรรค จึงสำคัญสุด ถ้ามีนโยบายที่ดี แต่อยู่ในมือกลุ่ม “คนต้องสงสัย” ว่าจะมีพฤติกรรมโจร ผมก็คงไม่สบายใจที่จะใส่ 1 คะแนนของผมให้แก่พรรคนั้นๆ ผ่านผู้สมัครในเขตเลือกตั้งที่ผมมีสิทธิเลือกตั้ง แม้คนคนนั้นจะ “ดีแสนดี” แต่เขาได้ยึดหลักที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง “มงคลชีวิต” ไหมว่า 1.คบบัณฑิต 2.ไม่คบคนพาล 3.บูชาผู้ที่ควรบูชา
13) ในเวลานี้ จึงอยากเห็นพรรคการเมืองทุกพรรค สะท้อน “ปัญญา” ในการวินิจฉัยปัญหาของชาติบ้านเมือง ผ่านการ “นำเสนอนโยบาย” มากๆ ไม่ใช่ลากการเลือกตั้งรอบนี้ไปเป็นเรื่องสงครามระหว่าง “ประชาธิปไตย” หรือ เผด็จการ” เพราะเราผ่านบ้านเมืองที่ให้คำตอบแก่เรามาแล้วว่า ในประชาธิปไตยมีเผด็จการ ในเผด็จการก็มีประชาธิปไตย ดังนั้นจะเผด็จการหรือประชาธิปไตย มันจึงอยู่ที่ “สันดานของการใช้อำนาจ” ว่าใช้เพื่อเจ้าของอำนาจ คือ ประชาชน หรือใช้เพื่อชัยชนะของตัวเมื่อได้สิทธิยึดกุมอำนาจ
14) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อได้อำนาจมาจากประชาชน ชนะการเลือกตั้งได้ ได้ตั้งรัฐบาล ได้มีคนของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์ปราบจลาจลการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารชุด พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น ประชาชน เช่น น้องเฌอ, กมนเกด อัคฮาด แม่ค้าที่สีลม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ฯลฯ กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการดำเนินคดีตามกฎหมายควรเกิดขึ้น เพื่อความเป็นธรรมแก่ญาติและครอบครัวผู้เสียชีวิตนั้น การณ์กลับตรงกันข้าม รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เอาเสียงข้างมาก อันเป็นอำนาจที่ได้มาจากประชาชนตามกระบวนการประชาธิปไตย ไปใช้โดยไม่สนใจหลักธรรมาภิบาล นิติรัฐ-นิติธรรม ด้วยวิธีการเยี่ยงเผด็จการ คือ รวบรัดตัดความ เอาเสียงข้างมากเข้าขัดขวางการอภิปราบ ถ่วงดุล ของฝ่ายค้าน เร่งรีบลงมติ ส่งผลให้ประชาชนดังที่กล่าวมาต้องตายฟรี ไม่มีโอกาศดำเนินคดีกับใครทั้งสิ้น ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะรู้ความจริงว่า “ใครฆ่า” นี่หรือที่เรียกว่า ฝ่ายประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง กลบฝังการตายของสุจริตเหมือนหมาจรจัด ไร้ญาติ เหมือนศพไร้สัญชาติ-ไร้ประเทศ ที่ไม่ต้องสนใจไยดี น่าเศร้าที่สุดในกรณีนี้ คือ มีคนที่พ่อถูกฆ่าตายในการชุมนุมร่วมอยู่ในกระบวนการพิจารณากฎหมายนี้ด้วย มีแกนนำการชุมนำอยู่ในที่ประชุมพิจารณากฎหมายด้วย พวกเขากลับไม่ลุกขึ้นสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อผดุงความเป็นธรรมให้แก่ผู้ตายเหล่านั้น ฉะนั้น เวลานี้ อย่ามาหาชั่วหาดีจากคำว่า “เผด็จการ/ประชาธิปไตย” แบบตื้นเขินกันอยู่เลย
16) สรุปก็คือ หัวใจของการนับคะแนนจากบัตร 1 ใบ มุ่งหาฉันทามติจากประชาชนทั่วประเทศ ว่า แต่ละพรรคการเมืองพึงมี สส. พรรคละกี่คน นั่นแปลว่าระบบให้ความสำคัญกับ “พรรค” มากที่สุด ตัวบุคคล เป็นตัวสนับสนุนให้พรรคนั้นๆ เกิดความชอบธรรมที่จะผลักดันนโยบายที่ประกาศต่อพี่น้องประชาชน ดังนั้น จงเพ่งมองไปที่นโยบายพรรคก่อน จากนั้นดูคณะบุคคลที่จะขับเคลื่อนนโยบายนั้น แล้วจึงหันมาดู “ตัวบุคคล” ในเขตพื้นที่ ว่าเป็นกำลังสนับสนุนที่ดี และเป็นตัวแทนที่ดีสำหรับพื้นที่ของท่านหรือไม่ ไม่ใช่แค่บริวารใคร ลูกสาวใคร ลูกชายใคร แต่เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะไปร่วมผลักดันนโยบายดีๆ ของพรรค และนำปัญหาของพื้นที่ไปส่งต่อให้พรรคเห็นความสำคัญและช่วยผลักดันจนแก้ไขได้
ส่วน “นายกรัฐมนตรี” นั้น ผมยังนึกไม่ออกว่ามีความหมายขนาดไหน เพราะต่อให้เราสนับสนุนพรรคที่เราอยากเห็นคนในบัญชีรายชื่อนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากมีกระบวนการอื่นเข้ามาแทรกแซง เช่น กระบวนการของ สว. ก็ใช่ว่าพรรคที่เราสนับสนุนจนได้เสียงมากพอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะสามารถผลักดันจนคนคนนั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ตัวชี้ขาดจึงอยู่ที่ ประชาชนเทคะแนนให้เขาชนะ “เด็ดขาด” เสียจนคนอื่นทำอะไรที่น่าเกลียดๆ ไม่ได้หรือไม่
เหมือนที่สื่อชอบถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะจับมือกับใคร แล้วนายอภิสิทธิ์ก็ยืนยันมาตลอดว่า จะสู้ให้ชนะ เพื่อจะได้เป็นคนกำหนดว่า จะเชิญใครมาร่วมผลักดันนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ไม่วางตัวเองเป็นตัวเติม แต่จะขอเป็นตัวหลัก ทั้งนี้อยู่มีประชาชนจะลงมติให้พรรคไหนมีความชอบธรรมได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เลือกให้พรรคชนะ ไม่ใช่เอาแต่ถามว่า ถ้าพรรคคุณแพ้ คุณจะเลือกข้างไหน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี