ความที่รัฐบาลปัจจุบัน ถูกกำหนดให้เป็นรัฐบาลปกติ ไม่ใช่ “รัฐบาลรักษาการ” ดังนั้น การใช้อำนาจ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การอนุมัติงบประมาณต่างๆ ทำได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเหมือนรัฐบาลรักษาการ ซึ่งปกติหลังมีการยุบสภาเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น รัฐบาลที่ทำหน้าที่อยู่ จะอยู่ในสภาพ “รักษาการ” เท่านั้น ขอบเขตของอำนาจที่ให้ จึงให้อย่างจำกัด แต่ครั้งนี้ไม่มีการยุบสภา เป็นรัฐบาลรัฏฐาธิปัตย์ บวกกับกฎหมายไม่ได้กำหนดให้อยู่ในสภาพรักษาการ จึงนับเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มทุกประการ
หากรัฐบาลนี้ ไม่ไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง คงไม่มีปัญหา แต่พอดีว่า มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไปเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถูกจับตาว่า ตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อรองรับการอยู่ในอำนาจต่อไปของคนในรัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะการเพ่งเล็งไปที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
เมื่อมีความคลุมเครือและส่อว่าจะ “ทับซ้อนกัน” ของอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง ก็จะมีผู้คนออกมาแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้หลากหลายรูปแบบ
1.รักษาหลักการ-ระบบ คนประเภทนี้จะเรียกร้องให้รัฐมนตรีทั้ง 4 คน ลาออก เพื่อเป็นบรรทัดฐาน และเป็นความสบายใจของทุกฝ่าย ว่าจะไม่มีการใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ที่มี เข้าไปเอื้อ จนการแข่งขันมีการได้เปรียบเสียเปรียบ ทำให้เกิดความไม่สง่างาม เป็นข้อกังขา เป็นข้ออ้างข้อแม้ที่บางกลุ่มบางฝ่ายจะเอาไปเคลื่อนไหวปั่นป่วน ตีรวน ทำให้ระบบกระบวนมันเสียหายไปด้วย และบ้านเมืองก็วุ่นวายด้วย
2.เพ่งเล็ง-กล่าวหา พวกนี้จะฟันธงไปทันทีว่า รัฐมนตรีทั้ง 4 คนที่ไม่ยอมลาออกนั้น เพราะต้องการใช้อำนาจหน้าที่ จากการเป็นรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์และอำนวยความสะดวกในการหาเสียง แข่งกับคู่แข่งอื่นๆ เป็นการกระทำที่เลวทรามของฝ่ายเผด็จการ ที่จ้องจะเอาเปรียบทุกวิถีทาง เพียงเพื่อใก้ความหวังที่จะสืบทอดอำนาจของตนนั้นประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดการแข่งขั้นที่ไม่เป็นธรรม ไม่สุจริต ประชาชนอย่ายอม ประชาชนต้องลงโทษ ประชาชนต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ตามมาสารพัด
3.ไม่ผิดอะไร กฎหมายไม่ได้ห้าม กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแฟนานุแฟน คือ นิยมชมชอบ ทำอะไรก็จะไม่ค่อยผิด หรือผิดร้อยก็จะเหลือผิดสิบ จะยึดเคร่งกับกฎหมาย ในเมื่อกฎหมายไม่ได้บอกว่าต้องลาออก ก็ไม่เห็นจะต้องออก ไม่ออกคือไม่ผิด เราะไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ กลุ่มนี้ไม่มองไปถึงความเหมาะสมไม่เหมาะสม ไม่พูดถึงสามัญสำนึก หรือมาตรฐานความดีงามอื่นๆ ที่มากกว่าเรื่องของกฎหมาย
เปรียบเทียบกันง่ายๆ ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือสมาชิกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังถูกเพ่งเล็งเลยว่า ในเวลาราชการ จะมาหาเสียงไม่ได้นะ หรือจะต้องลาขาดจากตำแหน่งเหล่านั้นเสียก่อน จะเถียงว่า ก็นี่กฎหมายเขาเขียนไว้ ก็ทำตามกฎหมายไปสิ ก็ใช่ครับ แต่ถ้าดูเจตนารมณ์ว่าทำไมกฎหมายต้องเขียนอย่างนั้น ก็เพราะต้องการกันเรื่อง “ประโยชน์และอำนาจที่ทับซ้อน” ออกไป ใช่หรือไม่
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประโยชน์หรืออำนาจเท่ากับความเป็นรัฐมนตรีไหม ไม่เลย ดังนั้น แม้กฎหมายไม่เขียน รัฐมนตรีก็พึงมีความสำนึกสำเหนียกด้วยตนเองได้ไหม ได้และดีเลยทีเดียว ซึ่งหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์และกดดันมานาน รัฐมนตรี 4 คนในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็ตัดสินใจลาออกแล้วเมื่อวานนี้ มีผลวันนี้
โดยรัฐมนตรีทั้งสี่ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รมว. อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เลขาธิการพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจําสํานักนายกรัฐมนตรี โฆษกพรรค
โดยสื่อมวลชนรายงานว่า นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวภายหลังเข้าพบนายกฯ ว่า ตนขอแจ้งข่าวอย่างเป็นทางการว่า 4 รัฐมนตรีได้ยื่นหนังสือลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 30 ม.ค.เป็นต้นไป โดยช่วงเช้าวันเดียวกัน (29 ม.ค.) เราทั้ง 4 คนได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว เพื่อกราบลาในฐานะที่มีโอกาสได้ร่วมทำงานในคณะรัฐมนตรีมา
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 29 ก.ย. 2561 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของผู้ร่วมก่อตั้งพรรค พปชร. วันนั้นถือเป็นการเริ่มนับหนึ่ง เราทั้ง 4 คนปรากฏตัวเป็นครั้งแรก และตนเคยพูดว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราจะออกไปทำงานการเมืองเต็มตัว ในวันนั้นที่พูดไว้เราเป็นรัฐมนตรี มีความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ ได้ปฏิบัติตัวตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ และทำตามกฎเกณฑ์กติกาจนมาถึงวันนี้ เราได้คุยกันแล้วว่าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมจึงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไปทำงานกับพรรค พปชร.เต็มตัว มุ่งสู่การเลือกตั้ง
นายอุตตมกล่าวว่า การที่เราปฏิบัติตัวตามนี้ อยากจะให้ถือว่าเป็นแนวความคิดของเรา สะท้อนเจตนารมณ์และความเชื่อของเราตั้งแต่ต้นว่าเราทำอย่างโปร่งใส ทำงานการเมืองอย่างมีเป้าหมาย ก้าวสู่การเมืองด้วยความมั่นใจ เป็นไปตามนั้น ไม่ได้เอาการเมืองนำ แต่ทำงานการเมืองโดยเอาประโยชน์ของประเทศชาติในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ภารกิจเสร็จสิ้นไปได้พอสมควร เราถึงมาทำงานการเมือง
“นายกฯ ก็รับทราบมาตั้งแต่ต้นว่าเราจะเดินแนวทางนี้ ในการเข้าพบนายกฯ ครั้งนี้ ท่านได้อวยพรขอให้สิ่งที่เรามุ่งหวังจะทำงานการเมืองนั้นให้ประสบความสำเร็จและคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนตำแหน่งที่ว่างลงใครมาแทนแล้วแต่นายกฯ จะพิจารณา” นายอุตตมกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า งานในตำแหน่งรัฐมนตรี สิ่งที่รับผิดชอบเสร็จหมดแล้วใช่หรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า ในความเห็นของเราสิ่งที่เราตั้งใจจะทำเสร็จครบถ้วน หลังจากนี้อาจจะมีการชี้แจงต่อไปอีกบ้าง ส่วนภารกิจไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นกับคณะของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น พวกเรายกเลิกการเดินทางไปด้วยแล้ว
เมื่อถามว่า มีการทาบทาม พล.อ.ประยุทธ์ให้มาอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรค พปชร.แล้วหรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า ยังไม่ได้มีการทาบทามใครทั้งสิ้น และยังไม่ได้หารือว่าจะเชิญท่านไหนบ้าง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกระบวนการของพรรคที่ต้องพิจารณาและลงมติกันภายใน ตนเรียนว่าไม่ช้าแล้ว เพราะเห็นแล้วว่า 4-8 ก.พ.ต้องได้ข้อยุติ เพื่อยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งผู้สมัคร สส. และบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรค ดังนั้น เร็วๆ นี้ไม่นานเกินรอได้เห็น
เมื่อถามว่า พรรค พปชร.จะเสนอชื่อนายกฯ เพียงคนเดียวหรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า ขอให้รอดูเร็วๆ นี้ เพราะเราสามารถเสนอได้ถึง 3 ชื่อ แต่ขอให้ทางสมาชิกของพรรค กรรมการบริหารพรรค และกลไกของพรรคได้มีโอกาสพิจารณาซึ่งการประชุมกรรมการบริหารพรรคจะมีขึ้นใน 1-2 วันนี้
ด้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และเลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวว่า โดยธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีรัฐมนตรีที่ลาออก หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว แรงกดดันที่มีต่อพวกเราตลอด 3 เดือนมานี้ เรารับด้วยความอดทน เพราะเป้าหมายการเข้าสู่การเมืองของเราคือเพื่อพี่น้องประชาชน ไม่ได้เอาการเมืองนำการทำงาน เราน้อมรับคำวิจารณ์ทางการเมืองทั้งสิ้น โดยไม่ได้อยู่บนบนหลักการหรือเหตุผลที่เคยปฏิบัติมา แต่เมื่อเราอาสามาทำงานทางการเมือง เราก็ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมือง ที่ไม่เอาความได้เปรียบทางการเมืองมาใช้ ที่ต้องรอเวลามาถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าภารกิจงานด้านเศรษฐกิจนั้นยังไม่แล้วเสร็จ สื่อมวลชนเองก็คงจะได้เห็นผลงานของพวกเราที่ทำงานหนักตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา
“มาตรฐานเหล่านี้เราตั้งใจทำให้เห็น เช่น เราจะไม่ทำงานการเมืองหรือไม่ให้สัมภาษณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาราชการ นั่นเพราะเราไม่อยากเห็นประเทศไทยใช้วาทกรรมทางการเมือง เราอยากเห็นการเมืองทำเพื่อประโยชน์ประชาชน มีความรับผิดชอบ การลาออกในวันนี้นั้นไม่เคยมีใครปฏิบัติมาก่อน นักการเมืองที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เราไม่เคยลาออกหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง สำหรับพรรค พปชร.เราได้รวบรวมผู้ที่มีอุดมการณ์เหมือนกันเพื่อหาทางออกของประเทศ การลาออกครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะการกดดันจากใครทั้งสิ้น แต่เป็นการตัดสินใจของพวกเราเองที่ต้องการทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา” นายสนธิรัตน์กล่าว
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า เมื่อมาทำงานการเมืองเต็มตัวแล้ว พวกเรามีความมั่นใจ แต่ไม่ได้มั่นใจในตัวของพวกเราทั้ง 4 คน เพราะเรามั่นใจว่าประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งด้วยประสบการณ์ของพวกเราและพรรค พปชร.เรามั่นใจว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเดินหน้าทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน ขอให้รอดูผลการเลือกตั้งเป็นหลัก เพราะเราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนพรรค พปชร.จะทำหน้าที่เต็มความสามารถ หากได้รับความไว้วางใจก็จะทำหน้าที่นั้นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าวทั้ง 4 รัฐมนตรีเดินกลับตึกไทยคู่ฟ้าอีกครั้งเพื่อสักการะพระพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล จากนั้นเดินทางออกจากทำเนียบฯ ทันที ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้แซวท่าการโบกมือลาของ 4 รัฐมนตรี ว่าไม่ใช่ลาจากแต่จะกลับมาใหม่อีกหรือไม่ นายอุตตมได้หันมายิ้มและชูนิ้วทำท่าถูกใจ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา 4 รัฐมนตรี มีข้อกังขาระหว่างการใช้อำนาจรัฐกับการมีตำแหน่งอยู่ในพรรคการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งการลาออกถือเป็นการแสดงออกว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับการใช้อำนาจหน้าที่ ไปในทางที่อาจทำให้การเลือกตั้งเกิดความไม่เป็นธรรม”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ที่คาดว่า จะมีการทาบทามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น เป็นเรื่องของพรรคการเมืองอื่นและเป็นเรื่องของพลเอกประยุทธ์ที่จะตัดสินใจ จึงไม่สามารถก้าวก่ายการตัดสินใจในแต่ละพรรคได้ ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยินยอมให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อต้องได้รับความยินยอมด้วยนั้น ตนมองว่าขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะ ยินยอมให้เสนอชื่อหรือไม่ จึงยังไม่สามารถตอบได้ ส่วนเสียงเรียกร้องจากบางฝ่าย ที่ให้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบรับหากมีการถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะพิจารณา
อย่างไรก็ตาม มองว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ต้องแสดงออกว่าจะดำรงตำแหน่งอย่างไรไม่ให้มีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจตามตำแหน่งหัวหน้า คสช. ดำเนินการ ปลดคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. และการอนุญาตให้แบ่งเขตเลือกตั้งโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้น หากประสงค์จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ต้องทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าจะไม่มีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงต้องยอมรับกติกา วัฒนธรรมประชาธิปไตย ที่ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นตามปกติซึ่งเรื่องปกติ ส่วนการที่พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องลาออกจากหัวหน้า คสช. หรือไม่นั้นก็อยู่ที่ดุลพินิจของพลเอกประยุทธ์ เอง
นำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อย้ำว่า ถ้าช่วยกันทำให้สง่างาม ติติงกันอย่างมีเหตุมีผล บรรยากาศก็ออกมาดี หลักการก็ได้รับการปกป้องรักษาไว้ น่าชื่นใจทีเดียว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี