กฎระเบียบเลือกตั้งครั้งนี้นับว่าเข้มงวดกับพรรคการเมืองมากกว่าครั้งใดในอดีต จนถูกมองว่าเน้นไปที่การเข้มงวดในการควบคุมการหาเสียงมากกว่าการเข้มงวดต่อการป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อเสียงใช่หรือไม่? ขณะที่โพลล่าสุดประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อขายเสียงอยู่ ยังไม่นับเรื่องการใช้เทคนิคในการนำชัยชนะด้านตัวเลขโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย? นอกจากนี้ที่จะควบคุมไม่ให้เกิดการทำนโยบายประชานิยมเพื่อล้างผลาญงบประมาณ แต่สุดท้ายกลับเป็นการเกทับกันที่ตัวเลขการให้เงินแก่ประชาชน
ล่าสุดนิด้าโพลระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ยังเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงคงอยู่ ซึ่งไม่แปลกที่ประชาชนจะคิดเช่นนั้น เนื่องจากสภาพที่เห็นของการเมืองหลังปฏิรูปแล้วในสายตาคสช. กลับพบว่าพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่มีหลายพรรคจริง แต่ล้วนเป็นพรรคที่เต็มไปด้วยนักการเมืองหน้าเก่า? บางพรรคมีมากกว่าร้อยคนทั้งที่เป็นพรรคใหม่ ในขณะที่พรรคการเมืองเก่ากลับกลายเป็นที่เกิดของนักการเมืองหน้าใหม่แทนเนื่องจาก สส. ย้ายออกจากพรรคไปหมด? เรื่องตลกร้ายนี้น่าจะอธิบายการเมืองไทยในยุคที่จะเกิดหลังจากนี้ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นอย่าได้แปลกใจถ้าประชาชนจะประเมินแล้วว่า การเมืองอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงและการซื้อเสียงจะยังคงมีอยู่ที่ไม่ต่างไปจากเดิม
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือ นโยบายที่พรรคนำมาแข่งขันกัน ซึ่งก็น่าสงสัยว่าหลุดพ้นจากความเป็นประชานิยมได้จริงหรือไม่? เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ แทนที่เราจะได้เห็นการแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ กลายเป็นว่าภาพที่ปรากฏออกมากลับเป็นการจงใจเกทับตัวเลขกัน อย่างเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่เมื่อประชาธิปัตย์เสนอนโยบายที่จะเพิ่มเบี้ยเป็น 1,000 บาท ก็มีอีกพรรคอย่างเพื่อชาติที่เสนอขั้นต่ำ 2,000 ตลอดจนพรรคประชาชาติที่เสนอเพิ่มเป็น 3,000 บาท ซึ่งการกระทำแบบนี้หลายคนก็กำลังตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมว่า นโยบายที่มีบางพรรคเริ่มเสนอการเพิ่มเงินให้กับประชาชนสร้างบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อนโยบายการเงินการคลังของประเทศหรือไม่?
ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นมากแล้วในอดีตว่าการออกนโยบายที่ไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังที่ถูกวิจารณ์ว่าสร้างความเสียหายระยะยาวให้กับประเทศมากขนาดไหนใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นนโยบายจำนำข้าว? ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท? หรือกระทั่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ? ที่อาจส่งผลต่อหนี้สาธารณะในระยะยาวใช่หรือไม่? ประเด็นเรื่องการแข่งขันเสนอนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้นโยบายสินค้าเกษตรหรือสวัสดิการใดๆ อาจจะถูกเกทับกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพรรคที่นำเสนอทีหลังอาจเพียงแค่เพิ่มตัวเลขขึ้น แม้กฎหมายได้ระบุถึงการต้องแจ้งงบประมาณและที่มาของงบประมาณแล้วก็ตาม ก็ยังมองไม่ออกว่าการนำเสนอนโยบายแบบแข่งกันที่ราคาเช่นนี้ จะทำให้เราหลุดพ้นจากปัญหาแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างไร?
อีกหนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจ ณ ห้วงเวลานี้เห็นจะเป็นการที่พรรคเพื่อไทย ที่หลังจากประชุมการสรรหาผู้สมัครสส.พรรค ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า จะส่งผู้สมัครสส.ระบบเขตทั้งสิ้นจำนวน 249 เขต จากทั้งหมดจำนวน 350 เขต โดยในพื้นที่กทม. ส่งผู้สมัคร 22 เขตจากทั้งหมด 30 เขต และสส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยนั้นมีทั้งสิ้น 131 คน จากที่ส่งได้ 150 คน ทั้งนี้ ในประเด็นดังกล่าวก็เป็นที่น่าตั้งคำถามว่าพรรคใหญ่ที่มีความพร้อมอย่างเพื่อไทย เหตุใดจึงไม่ส่งผู้สมัครลงให้ครบทั้ง 350 เขตและส่งผู้สมัครบัญชีรายชื่อให้ครบจำนวนทั้ง 150 คน ตามที่กฎหมายให้ไว้? หรืออย่างน้อยหากต้องการจะเป็นที่หนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ จำต้องส่งผู้สมัครลงเป็นอย่างน้อย 251 เขต มิใช่ 249 ใช่หรือไม่? แม้จะบอกว่าอาจจะได้เก้าอี้จากระบบบัญชีรายชื่อก็ตาม แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเหตุที่ทำให้พรรคการเมืองหลายๆ พรรคถูกวิจารณ์ว่ามีการฮั้วกันหรือไม่? แล้ว กกต.ว่าอย่างไร?
ขณะที่ไทยรักษาชาติ ก็เป็นพรรคที่ถูกจับตา เพราะมีข่าวว่าจะส่งผู้สมัครลงใน 150 เขตเท่านั้นจาก 350 เขต ซึ่งเมื่อลองบวกลบคูณหารแล้วน่าจะซ้อนทับกันอยู่ไม่กี่เขต โดยภายหลังที่มีข่าวนี้ออกมาจึงทำให้ประเด็นด้านการหลีกทางให้กันมีน้ำหนักมากขึ้นใช่หรือไม่?
นอกจากนี้แล้ว ยังมีหลายคนสงสัยกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทยที่เป็นตัวหลักแต่กลับมาอยู่พรรคไทยรักษาชาติ ในความเป็นจริงการย้ายพรรคโดยอุดมการณ์เปลี่ยนไม่แปลก เพราะหลายคนที่ย้ายไปอยู่ประชารัฐก็แสดงออกชัดเจนว่าอุดมการณ์เปลี่ยน และมีการอธิบายเหตุผลของการย้าย ในขณะที่หลายคนก็ยังคงมองไม่ออกหรือยังหาคำตอบไม่ได้ว่าบรรดาคนดังของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ย้ายจากเพื่อไทยไปไทยรักษาชาตินั้นย้ายไปเพราะอะไร?
สุดท้ายนี้จึงไม่แปลกหากจะมีคนตั้งข้อสงสัยถึงการเกื้อกูลของพรรคบางพรรคในขณะนี้ ว่ามีเป้าหมายเพื่อใช้เทคนิคทางกฎหมายให้ได้คะแนนสูงสุดทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง คำถามคงกลับไปที่ประชาชนว่าเราจะยอมรับพรรคการเมืองแบบนี้หรือไม่? แต่ที่น่าตั้งคำถามมากกว่าคือ กกต. คิดอย่างไรกับเรื่องนี้? เพราะจะเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป ว่าด้วยกฎหมายแบบนี้กับแนวทางแบบนี้ คือแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่?
ที่สุดแล้วการเลือกตั้งที่กำลังจะเข้ามาถึงจะแสดงให้เห็นถึงนักการเมืองอาชีพที่หวังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศชาติ และหวังดีต่อประชาชนในระยะยาว หรือนักการเมืองที่เป็นเพียงนักเลือกตั้งชั่วครั้งชั่วคราวที่มาฉกฉวยโอกาสมากกว่าการสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชน คำตอบของข้อสงสัยทั้งหมดจะกระจ่างเมื่อการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมนี้มาถึง.........
“...ชื่อเสียงจอมปลอมเหนี่ยวรั้งคน บันดาลให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง...”
โกวเล้ง จากเรื่อง ทวนทมิฬ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี