นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา เป็นเวลาเกือบ 87 ปี ที่บุคคลกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยทหารและพลเรือนทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองโดยอ้างว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
แต่ในความเป็นจริงนั้นการปกครองดังกล่าวหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะอำนาจการปกครองในขณะนั้นที่แท้จริงกลับเป็นการที่คณะบุคคลที่เรียกว่า “คณะราษฎร” แทนที่จะนำเอาระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในการปฏิบัติกลับกลายเป็นว่าเป็นการยึดอำนาจการปกครองจากพระมหากษัตริย์มาเป็นของ “คณะราษฎร” เนื่องจากประชาชนชาวไทยในขณะนั้นไม่เข้าใจถึงอำนาจในการปกครองระบอบนี้
กลุ่มเข้าใจว่า “ประชาธิปไตย” เป็นลูกของ “คณะราษฎร” ความเข้าใจดังกล่าวสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าความเข้าใจจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยก็ตามแต่ก็หาได้ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยตามแบบสากลไม่ เพราะการเมืองไทยยังเป็นสังคมที่เรียกว่าเป็นสังคมอำมาตยาธิปไตยหรือระบบชนชั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ที่กล่าวว่าสังคมไทยเป็นสังคมระบบชนชั้นนั้นเพราะไม่ว่าข้าราชการหรือที่เป็นคนชั้นหัวหน้ากิจการธุรกิจ หรือนายทุนก็เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อยก็เรียกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่า “เจ้านาย” วงการธุรกิจก็เช่นกันมีเจ้านายกับลูกน้อง ส่วนนักธุรกิจเมื่อพบข้าราชการก็ต้องทำตัวเป็นลูกน้องกับข้าราชการที่มีอำนาจเช่นกัน รวมทั้งในครอบครัวถ้าจ้างคนมาทำงานบ้านก็กลายเป็นเจ้านายกับคนรับใช้ ซึ่งรวมความได้ว่าสังคมไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากสังคมอภิชนาธิปไตยหรืออำมาตยาธิปไตยเลย ไม่ว่าสังคมการเมืองจะเปลี่ยนไปทางนิตินัยอย่างไร แต่ทางพฤตินัยก็ยังเป็นไปเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
สรุปรวมความว่าสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติเลยที่เป็นเช่นนี้เพราะสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันอำนาจหรืออิทธิพลเกิดจากตำแหน่งหน้าที่หรือเงินตราประชาชนคนไทยไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างตำแหน่งหน้าที่กับสิทธิและหน้าที่ ตัวอย่างเช่น ข้าราชการการเมืองที่มีตำแหน่งทางการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือข้าราชการประจำที่มีหน้าที่ เช่น ข้าราชการตำรวจก็จะเป็นตำรวจตลอดเวลา ซึ่งผิดกับประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ว่าผู้มีตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการประจำ นอกเวลาราชการก็จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นไม่สามารถจะอ้างว่าจะตำแหน่งติดตัวไปด้วย
ฉะนั้น สังคมการเมืองไทยขณะนี้กำลังจะกลับเข้าสู่สังคมประชาธิปไตยแม้จะเป็นเพียงประชาธิปไตยฟันปลอมก็ตามถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยจะต้องตั้งตัวเดินเข้าสู่ความเป็นสังคมประชาธิปไตยด้วยจิตและวิญญาณ กล่าวคือ ทุกคนต้องสลัดความประพฤติและปฏิบัติภายใต้สังคมอำมาตยาธิปไตยทิ้ง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยการรู้จักรักษาสิทธิและปฏิบัติหน้าที่ตามหลักการแห่งประชาธิปไตย ทั้งในครอบครัวและสังคม ไม่เกรงกลัวต่อบุคคลแต่ต้องเกรงกลัวต่อกติกา คือ กฎหมายและข้อบังคับเท่านั้น
เพราะคนไทยทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันแตกต่างกันเฉพาะเมื่อเขาเหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่ ถ้าตราบใดที่สังคมไทยยังยอมรับว่าเป็นสังคมชนชั้นนั้นในทางปฏิบัติอยู่ต่อให้กติกาเป็นประชาธิปไตยเพียงใดก็ไม่อาจทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยดังเช่นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ และวงจรอุบาทว์จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี