“เรามาประชุมกันวันนี้เพราะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการรักษาอุตสาหกรรมยาสูบไทยให้อยู่รอด เพื่อเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและคนไทยได้อย่างยั่งยืน” นี่คำกล่าวแรกในการประชุมอุตสาหกรรมยาสูบแห่งประเทศไทยครั้งที่ 2 ที่ภาคียาสูบแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมสรรพสามิตจัดขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงผลกระทบการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีอีกครั้งเป็น 40% ในเดือนตุลาคมนี้ ตามที่กระทรวงการคลังได้ประกาศไว้
ตัวแทนชาวไร่ยาสูบรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า ทำไร่ยาสูบมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จนมาถึงตอนนี้ก็ 46 ปีแล้ว แต่ละปีก็เจอปัญหาเรื่องการปลูก สภาพอากาศ เหมือนพืชเกษตรทั่วไป แต่ไม่เคยต้องกังวลเรื่องราคาผลผลิตและการตลาด เพราะการทำยาสูบมีการกำหนดโควตาและประกาศราคารับซื้อที่ชัดเจน แต่ปีนี้เป็นปีที่ชาวไร่ยาสูบเจอกับวิกฤติครั้งใหญ่ในอาชีพ เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากการโดนตัดโควตารับซื้อใบยาไปกว่า 50% ทำให้รายได้รวมของชาวไร่ยาสูบ 3 สายพันธุ์กว่า 5 หมื่นราย หายไปเกือบ 230 ล้านบาท ในฤดูกาลปลูกปี 2561/2562 ซึ่งหากมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตอีกครั้งเป็น 40% ในเดือนตุลาคมนี้ ผลกระทบรุนแรงคงลุกลามเป็นลูกโซ่มายังชาวไร่ยาสูบ การจ้างงานท้องถิ่น และเศรษฐกิจในชุมชน
แม้รัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาระยะสั้นด้วยการอนุมัติงบประมาณ 159.59 ล้านบาท ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปของชาวไร่ยาสูบจากการถูกลดโควตาการรับซื้อ แต่จนถึงทุกวันนี้ผ่านมา 2 เดือนแล้ว เงินช่วยเหลือดังกล่าวก็ยังไม่ถึงมือชาวไร่ เพราะยังมีปัญหาในเรื่องวิธีการและแนวทางการจ่ายเงินที่ยังไม่ชัดเจน อีกทั้งยังมีการระบุว่าเป็นการช่วยเหลือสำหรับฤดูกาลปลูกเดียวเท่านั้น ทำให้ชาวไร่ยังคงมีความกังวลและไม่มั่นใจในอนาคตของอาชีพตัวเอง
การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ยอมรับว่ายอดขายและกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณใบยาแห้งคงเหลือสูงขึ้นกว่า 40% และเพียงพอต่อความต้องการในการผลิตไปได้อีก 4-5 ปี ตามสายพันธุ์/เกรดใบยา จากเดิมที่จะสต๊อกใบยาไว้ 1-2 ปี ตามมาตรฐานสากล ดังนั้น ยสท. เองก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจ พนักงาน และอุตสาหกรรมทั้งระบบอยู่รอดได้
หากมีการขึ้นภาษีบุหรี่อีกครั้ง จาก 20% เป็น 40% ในอีกเพียง 8 เดือนข้างหน้า ที่จะถึงนี้ บุหรี่ราคาต่ำสุดราคา 60 บาท จะมีภาระภาษีที่เพิ่มสูงขึ้นและต้องขยับราคาเป็น 90 บาท ซึ่ง ยสท. คาดการณ์ว่า ยอดขายโดยรวมจะลดลงเหลือเพียง 8-9 พันล้านมวน เพราะผู้สูบบุหรี่คงหันไปหาสินค้าทดแทนจำพวกยาเส้นมวนเองและบุหรี่ผิดกฎหมายที่ราคาต่ำกว่ากัน 5-10 เท่า นั่นหมายความว่าขนาดของอุตสาหกรรมจะหดตัวลงอีกทันที 40-50% รวมมูลค่าความสูญเสียเกือบแสนล้านบาททั้งอุตสาหกรรม และมีความเป็นไปได้สูงว่า ยสท. จะไม่มีความจำเป็นต้องรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรไปอีกหลายปี ชาวไร่ยาสูบไม่เพียงแต่จะขาดรายได้ แต่อาชีพยาสูบคงต้องหายไปจากสังคมไทยอย่างแน่นอน
ที่ประชุมในวันนั้นจึงเห็นตรงกันว่าต้องรีบแก้ปัญหาเร่งด่วนให้ชาวไร่โดยการกำหนดแนวทางการจ่ายเงินช่วยเหลือให้ชัดเจน มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ และเร่งจ่ายเงินให้เร็วที่สุด เพราะช่วงนี้ก็เข้าสู่ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการขึ้นภาษีบุหรี่ 40% ออกไปก่อน หากในระยะยาวจะมีการพิจารณาขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ตามมูลค่าจาก 20% ควรเป็นแบบขั้นบันได คือ ค่อยๆ เพิ่มปีละ 5% เพื่อให้อุตสาหกรรมยาสูบโดยเฉพาะชาวไร่ยาสูบได้มีเวลาปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน และเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย อาชีพยาสูบจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ คงต้องอาศัยความร่วมมือจากพลังการเมืองด้วย ชาวไร่ยาสูบ 18 จังหวัด ฝากความหวังไว้กับทุกพรรคการเมืองให้รวบรวมปัญหาและความเดือดร้อนของชาวไร่เพื่อนำไปกำหนดนโยบายเลื่อนการขึ้นภาษีและดูแลปากท้องชาวไร่ยาสูบอย่างจริงจัง
ทั้งหมดนี้เพื่อนผมสรุปข้อมูลจากในห้องประชุมมาเล่าสู่กันฟังครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี