ความวิตกกังวลของทั้งชาวไทยไม่ว่าเมืองเล็กเมืองใหญ่กำลังพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องด้วยความเดือดร้อนจากมลภาวะทางอากาศ ทั้งฝุ่น ควัน และไอร้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และอันตรายถึงชีวิต โดยปัญหานี้มิใช่เป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ หากแต่เป็นผลพวงปัญหาสะสมจากฝีมือมนุษย์ที่ก่อกันขึ้นมา ผสมกับการละเลยในการควบคุมแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ
เราคนไทยแต่ละคน จึงมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในฐานะพลเมือง ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ ทั้งจากส่วนกลาง และท้องถิ่น การทำหน้าที่ก็ต้องกระทำกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือสุกๆ ดิบๆ เป็นการปัดเรื่องให้พ้นๆ ตัวกันไป อย่างที่ผ่านๆ มา เพียงเพื่อที่จะได้โฆษณาความดีหาคะแนนนิยมเข้าตัว แล้วจบๆ กันไป
จะบรรเทาและแก้ปัญหากันอย่างไร ก็ต้องมุ่งไปต้นตอของปัญหาซึ่งอยู่ใกล้ตัวกันเสียก่อน ซึ่งการแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากสลับซับซ้อน หากแต่ยากพอสมควร เพราะต้องการจิตสำนึก และจิตอาสาของเราทุกคนเป็นที่ตั้ง โดยในระดับรัฐบาลก็คือความเป็นผู้นำ ที่จะต้องใช้สติปัญญาสร้างองค์ความรู้ และตัดสินใจในเรื่องการดำเนินมาตรการการแก้ไข
คำถามที่ใครๆ ก็ถามกันก็คือ
ควันนั้นมาจากไหน? ที่เห็นกันเป็นประจักษ์ ทนโท่ ทุกวี่ทุกวันก็คือ ควันจากยานยนต์ต่างๆ ควันจากปล่องโรงงาน และควันจากไร่นาหลังการเก็บเกี่ยว
ฝุ่นมาจากไหน? ก็มาจากการทำลายภูเขา เพื่อได้หินมาเพื่อการก่อสร้างต่างๆ แล้วฝุ่นก็มากับการก่อสร้าง ทั้งอาคารบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนนหนทาง ทางล้อเลื่อนบนดิน ใต้ดินต่างๆ ไปจนถึงการก่อสร้างทำนบ อ่าง และเขื่อน แถมด้วยที่ดินว่างเปล่าที่ปราศจากพืชและหย่อมหญ้า
นอกจากนั้นก็มีเรื่องความร้อนระอุส่งออกมาจากโรงงานต่างๆ จากเครื่องทำความเย็นในอาคารและยานยนต์
การแก้ไขปัญหาก็มีทั้งเรื่องภารกิจเฉพาะหน้า ปานกลาง และระยะยาว ซึ่งทุกคนสามารถมีส่วนร่วมรับผิดชอบได้ และภาครัฐสนับสนุน และจริงจังกับการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งก็ต้องควบคู่ไปกับการบริหารราชการแบบธรรมาภิบาล คือไม่ให้มีเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และการทุจริตคอร์รัปชั่นเข้ามาย่างกรายซ้ำเติมประเด็นปัญหา
ในบทความนี้ก็ขอเสนอแนะ การมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน ซึ่งก็ประมวลมาจากข้อคิดเห็นของผู้ร่วมห่วงใยบ้านเมืองหลายคน และการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งได้เนื้อหาสรุปได้ดังนี้
1. การต้องจำกัดยานยนต์ปล่อยควันดำ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคลเจ้าของรถส่วนตัว เจ้าของรถเช่า รถขนส่งมวลชน และรถบรรทุกรับจ้าง
2. การเข้มงวดกับโรงงานปล่อยควัน ทั้งโดยตัวเจ้าของ และการกำกับดูแลโดยหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัด การทำงานอย่างขะมักเขม้นจริงจังและซื่อสัตย์สุจริตของเจ้าหน้าที่ภาคโรงงานอุตสาหกรรมและภาคมลภาวะ โดยชุมชนต้องช่วยตรวจตรา ออกปากออกเสียงผ่านคณะกรรมการหมู่บ้าน ฝ่ายปกครองท้องถิ่นและท้องที่
3. การดำเนินการโดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายอำเภอ ร่วมด้วยฝ่ายปกครองท้องถิ่น (อปต./อปท.) ในการมิให้การเผาหญ้า เศษพืชพันธุ์บนท้องไร่ท้องนา
4. การควบคุมการก่อสร้างทุกชนิดอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการฉีดน้ำ การมี “มุ้ง” ครอบคลุมที่ก่อสร้าง การเก็บปัดกวาดเศษวัสดุก่อสร้าง และนำไปถมหรือไปหมุนเวียนใช้ใหม่ (Recycle) ซึ่งสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้าง สภาวิศวกรรมสถาน สภาสถาปนิก ฝ่ายโยธาของเทศบาลและกระทรวงมหาดไทย ต้องร่วมแรงแข็งขันให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
5. ในเชิงรณรงค์และส่งเสริมการปฏิบัติที่ดี ก็น่าจะมีมาตรการ เช่น การให้ผลตอบแทนโดยภาครัฐ ร่วมกับภาคเอกชนที่มีจิตศรัทธา เช่น ดำเนินการแบบ
5.1) การหักลดภาษีและค่าทะเบียนในกรณีที่มีการครอบครองยานยนต์ที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันและแก๊ส แต่ใช้ยานยนต์ลูกผสม (Hybrid) ใช้พลังไฟฟ้า (Electric) หรือการใช้หลังคาผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
5.2) การเปิดโอกาสให้เยาวชนเป็น “ตาวิเศษ” โดยการถ่ายรูปจากมือถือ ยานยนต์ใด โรงงานใด ที่ดินใด ที่ปล่อยควันดำ แล้วก็มีการให้รางวัลตอบแทน หรือการประการเกียรติคุณ
5.3) สื่อสาธารณะ โดยเฉพาะของรัฐ ต้องเป็นหูเป็นตาในการจัดทำข่าวเพื่อการรณรงค์ ขจัด และป้องกันการกระทำผิดต่างๆ
5.4) เยาวชนและผู้มีจิตอาสา ก็สามารถช่วยกันวัดความสะอาดของอากาศ (รวมไปถึงของเสียและน้ำในท่อและแม่น้ำลำคลอง) ได้
5.5) การเปิดแข่งขันกันระหว่างเขตกรุงเทพมหานคร และระหว่างอำเภอในแต่ละจังหวัดในเรื่องคุณภาพสิ่งแวดล้อม
5.6) การรณรงค์จัดการให้มีการใช้ยานพาหนะร่วมกัน ทั้งรถส่วนตัว รถแท็กซี่ และรถตุ๊กตุ๊ก เพื่อลดจำนวนรถและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย (Car Pooling)
5.7) ในช่วงวันสุดสัปดาห์ให้มีการปิดถนน (แบบประจำและแบบสลับกัน ระหว่างย่าน/ถนนต่างๆ โดยอาจอนุโลมรถสาธารณะ แม้กระทั่งการนำเอาสามล้อถีบกลับมาใช้กันอีก)
5.8) หน่วยราชการหลายหน่วยงานกระจุกตัวอยู่ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ถนนพระราม 6 และถนนแจ้งวัฒนะ ก็น่าจะมีการกำหนดจุดรับ-ส่งกลาง เช่นที่ จอดรถ และสถานีรถไฟและรถไฟฟ้า เพื่อลดการใช้รถส่วนตัว
5.9) การเพิ่มการใช้แม่น้ำ ลำคลอง เพื่อการสัญจรไป-มา เพื่อลดจำนวนยานยนต์
5.10) การใช้ตั๋วเดียว แต่ขึ้นได้ต่อกันทั้งเรือ รถ และรถไฟ/ไฟฟ้า เป็นแบบตั๋วเดือน ซึ่งอาจหักภาษีได้ด้วย
5.11) การลดการใช้เครื่องปรับอากาศ
5.12) การปลูกต้นไม้ การมีกระถางต้นไม้ให้มากที่สุด และการเพาะพันธุ์ต้นไม้ให้เหมือนฟูกบนทางเดิน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ก็ต้องกระทำตัวเป็นตัวอย่าง เช่น การใช้รถของบรรดารัฐมนตรี ที่ปกติจะไปไหนกันเป็นขบวนยาว ก็ควรได้ลดจำนวนลง และเมื่อออกจากรถประจำตำแหน่งลงไปปฏิบัติภารกิจกันแล้ว ก็ควรกำชับให้คนขับรถดับเครื่อง ไม่ใช่ยังติดเครื่องยนต์เพื่อพักผ่อน หรือมัวเอาใจเจ้านาย
ในระยะปานกลาง ภาครัฐก็ต้องตัดสินใจในการห้ามการผลิตและใช้รถด้วยเชื้อเพลิงแก๊สและน้ำมัน ภายใน 5 – 10 ปี
ในระยะยาว คือการวางและมีระบบสื่อสารมวลชนแทนการใช้ยานยนต์ส่วนตัว และถนนแปรสภาพเป็นทางเดิน ไทยก็จะเขียวได้ และไร้ฝุ่น ไร้ควัน
การสู้ฝุ่น สู้ควัน สู้ไอร้อน ครั้งนี้ เป็นเรื่องของทุกภาคส่วน โดยประชาชนเขาพร้อมร่วมมือกับทางภาครัฐอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้นำภาครัฐจะต้องมีวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง จะได้ไม่พาประเทศเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ นอกจากนั้น ก็ต้องมีความจริงใจ ที่จะกำกับดูแลให้หน่วยงานราชการได้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบาย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี