บ่อยครั้งที่เมื่อพูดถึงปัญหา “คอร์รัปชั่น” ในสังคมไทย หลายคนมักจะมองไปที่บรรดาประเทศเจริญแล้วไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่เพื่อนบ้านอาเซียนอย่างสิงคโปร์ ที่มีอันดับความโปร่งใสค่อนข้างสูง จนบางครั้งอาจรู้สึกว่าเป็นไปได้ยากที่ประเทศไทยจะเลียนแบบ อย่างไรก็ตามยังมีประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ระดับไล่เลี่ยกับประเทศไทยและไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง อินโดนีเซีย ที่กำลังได้รับความสนใจจากนานาชาติเนื่องจากมีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
ล่าสุดกับ “รายงานการจัดอันดับประเทศที่มีความโปร่งใส” โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล (Transparency International) ประจำปี 2561 ที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือนม.ค. 2562 พบว่าจากคะแนนเต็ม 100 อินโดนีเซีย ได้ 38 คะแนน อยู่ในอันดับ 89 จาก 180 ประเทศทั่วโลก เพิ่มจากปี 2560 ที่ได้ 37 คะแนน อยู่อันดับ 96 ขณะที่ประเทศไทยได้ 36 คะแนนและอยู่ในอันดับ 99 ลดลงจากปี 2560 ที่ไทยได้ 37 คะแนน และอยู่อันดับ 96 เท่ากับอินโดนีเซีย..หรือสรุปง่ายๆ ได้คือ โลกมองว่าปัญหาการทุจริตในแดนอิเหนาลดลง ต่างกับสยามเมืองยิ้มที่ปัญหานั้นรุนแรงขึ้น
ที่น่าสนใจคือหากย้อนไปในปี 2541 อันเป็นปีสุดท้ายที่อินโดนีเซียปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เมื่อประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต และเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นประชาธิปไตยในเวลาต่อมาจนปัจจุบัน ก็พบว่าอันดับความโปร่งใสของอินโดนีเซียในปี 2541 นั้นอยู่ที่ 80 จากทั้งหมด 85 ประเทศ ได้ 2 จากเต็ม 10 คะแนน ส่วนไทยในปีเดียวกันอยู่อันดับ 61 ได้ 3 จากเต็ม 10 คะแนน “อินโดนีเซียทำให้ความโปร่งใสดีขึ้นได้อย่างไร?” คำตอบคือเขามีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็งและใครก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้
ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกเล่าไว้ในงานสัมมนา “ตั้งโจทย์-ตอบอนาคต : วาระการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง หัวข้อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)ถึงองค์กร “KPK” (Komisi Pemberantasan Korupsi) หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ของอินโดนีเซีย” ที่ชาวแดนอิเหนาเชื่อมั่นอย่างสูงจากการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
โครงสร้างของ KPK หรือ ป.ป.ช.แดนอิเหนานั้นน่าสนใจตั้งแต่ “ที่มา” โดยประธานาธิบดีจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งจากบุคคลหลากหลายทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม (NGO) เพื่อคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจนเหลือ 10 รายชื่อ จากนั้นนำ 10 รายชื่อนี้ไปให้ที่ประชุมของรัฐสภาคัดเลือกให้เหลือเพียง “5 เสือ” (หรือ 5 อรหันต์ก็แล้วแต่จะเรียก) มาดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. การสรรหาแบบนี้ทำให้เกิด “การถ่วงดุล” โดยอัตโนมัติ
แม้ประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่มีอำนาจสรรหาโดยตรง การตั้งคณะกรรมการสรรหาก็มีความหลากหลาย สุดท้ายคัดเลือกโดยรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกจากหลายพรรคการเมือง ทำให้ KPK ไม่ได้มีที่มาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว ผลคือที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงตลอดจนนักการเมืองถูกชี้มูลความผิดไปแล้วหลายรายและเสมอหน้ากันทุกฝ่าย ทั้งญาติของประธานาธิบดี รัฐมนตรี ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติ รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากหลายพรรค แม้กระทั่งกรรมการ KPK บางรายที่พฤติกรรมไม่ชอบมาพากลก็ยังถูกถอดถอนจากตำแหน่งมาแล้ว
“เคยมีกรณี KPK จะจ้างบุคลากร จะสร้างสำนักงานก็ไม่ให้ สภาบอกตัดงบประมาณ ทุกพรรคการเมืองเกลียดเหมือนกันหมดเพราะคอยขัดแข้งขัดขาปรากฏว่าประชาชนระดมเงินบริจาค บอกสภาตัดงบก็ไม่เป็นไร ประชาชนจะบริจาคให้ไปสร้างตึกใหม่เอง ทำไม KPK ถึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทุกกลุ่ม? ก็เพราะเขาทำหน้าที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง คนรู้สึกว่าฝากความหวังไว้ได้” อาจารย์ประจักษ์ บอกเล่าถึงความเชื่อมั่นของคนอินโดนีเซียต่อองค์กร KPK
บทสรุปจากแดนอิเหนา.. “ประเทศใดองค์กรซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบทุจริตทำงานอย่างอิสระและเป็นกลาง พรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่จะเข้าสู่อำนาจก็ต้องมีสำนึกรับผิดชอบต่อสาธารณะไปโดยปริยาย” ผู้มีอำนาจที่ประพฤติทุจริตไม่สามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้เพราะกระแสกดดันจากประชาชนจะเป็นไปอย่างรุนแรง ในทางกลับกัน “ประเทศใดองค์กรซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบทุจริตไม่อาจทำงานได้อย่างอิสระและเป็นกลาง ประชาชนก็พลอยไม่สนใจปัญหาคอร์รัปชั่นไปด้วย” เพราะประชาชนจะมองว่าประเด็นคอร์รัปชั่นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
อาทิ ตรวจสอบเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นไม่ตรวจสอบทุกฝ่าย นานวันเข้าก็ขาดความเชื่อถือจากสังคม พลังในการต่อต้านคอร์รัปชั่นของสังคมนั้นๆก็ไม่เกิด ซึ่ง “ประเทศใดจะเป็นอย่างไรขอให้ดูกลไกการแต่งตั้งกรรมการ ทั้งองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตโดยตรง รวมถึงองค์กรอิสระอื่นๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี” ว่ามีวิธีสรรหาคนมาเป็นกรรมการอย่างไร หลายฝ่ายได้ร่วมคัดสรรหรือเป็นการคัดเลือกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว
เพราะที่มาของกรรมการ..ย่อมพอจะคาดเดาแนวทางการทำงานได้!!!
หมายเหตุ : คะแนนความโปร่งใสของประเทศไทยนับตั้งแต่องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากลมีการจัดอันดับมาในปี 2538 พบว่า ในปี 2538 ได้ 2.79 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2539 ได้ 3.33 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2540 ได้ 3.06 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2541 ได้ 3 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2542 ได้ 3.2 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2543 ได้ 3.2 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2544 ได้ 3.2 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2545 ได้ 3.2 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2546 ได้ 3.3 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2547 ได้ 3.6 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2548 ได้ 3.8 จากเต็ม 10 คะแนน,
ปี 2549 ได้ 3.6 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2550 ได้ 3.3 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2551 ได้ 3.5 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2552 ได้ 3.4 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2553 ได้ 3.5 จากเต็ม 10 คะแนน, ปี 2554 ได้ 3.4 จากเต็ม 10 คะแนน ต่อมาในปี 2555 มีการเปลี่ยนการให้คะแนนจากเต็ม 10 เป็นเต็ม 100 พบว่าในปี 2555 ไทยได้ 37 จากเต็ม 100 คะแนน, ปี 2556 ได้ 35 จากเต็ม 100 คะแนน, ปี 2557 ได้ 38 จากเต็ม 100 คะแนน, ปี 2558 ได้ 38 จากเต็ม 100 คะแนน, ปี 2559 ได้ 35 จากเต็ม 100 คะแนน, ปี 2560 ได้ 37 จากเต็ม 100 คะแนน และปี 2561 ได้ 36 จากเต็ม 100 คะแนน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี