ไม่เคยสรุปบทเรียน คน๑นักการเมือง๑ นักวิชาการ๑ ภาคประชาชน๑ จึงเดินซ้ำรอยเดิมแก้วิกฤติไม่ได้
เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
l คน๑ : ถ้าไม่เคยมีบทเรียน หรือประสบการณ์ ย่อมมีโอกาสทำผิดได้ง่าย
คน ๑ : ที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่อง ๑ แต่ขาดประสบการณ์ในอีกเรื่อง ๑ ก็มีโอกาสพลาดได้เช่นกันคนทั่วไปมักจะเข้าใจผิด คิดว่า คนเก่ง เป็นดอกเตอร์ วิศวกร หมอ เขาจะเก่งในเรื่องอื่นๆ ด้วย ซึ่งมิใช่เพราะแม้แต่คนเป็นหมอ ก็อาจจะเก่งในเรื่องที่เรียนรู้ ในแผนกหนึ่งของการแพทย์ แต่เรื่องอื่นๆ ก็อาจไม่รู้
@ บางคนเก่ง มีความรู้ประสบการณ์ในวิชาชีพอื่นๆ แต่อาจจะเป็น “ละอ่อน” ในทางการเมืองได้เพราะการเมืองมีหลายหน้าหลายตา สวมหน้ากากเข้าหากัน มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน ฯลฯ และหลายพรรคหลายนักการเมือง ก็มักจะอ้าง “ประชาชนมาก่อน ทำเพื่อประชาชน” ทั้งที่ ไม่จริงเลยหากมิได้สนใจจริงจัง เอาตัวเข้าศึกษาเรียนรู้ เข้าร่วมปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติอีก และสรุปบทเรียนทุกครั้ง, ยิ่งยาก ยิ่งนักวิชาการ, นักการเมือง, คนที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” ส่วนหนึ่งมักสร้างปัญหาแทนการแก้ปัญหาเพราะ มักยึดติด “ตัวกูของกู” ว่า กูเก่ง กูแน่ “ไม่มีใครเก่งหรือมีความรู้ หรือกล้าวิจารณ์สังคมมากเท่ากู” เอา “กูมาก่อน เอาตัวกูเป็นใหญ่ แต่ไม่ดูตัวเอง” มีแต่ไปกล่าวหา ประณามคนอื่น ว่า “ผิด -ไม่รู้จริง” บางคนมีผลประโยชน์แอบแฝง แต่บางคนไม่มี แต่ความจริงก็มี คือ “ตัวกูของกู” ที่เป็นกิเลสสำคัญไม่น้อย บางคน “ใจเร็วรีบด่วน ไม่คิดเองไม่เรียนรู้ปฏิบัติเอง” จึงหาทางลัด หวังให้เสร็จเร็วเข้าว่า โดยเฉพาะการเมืองจึงมักไปลอกไปตัดตอน “หลักการ และวิธีการประชาธิปไตย” ของตะวันตกหรือตะวันออกมาโดยไม่ตรวจสอบ เงื่อนไข กาลเวลา และสภาพของสังคมที่ตนไปศึกษาเรียนรู้มา ว่า มีกระบวนการอย่างไรไม่นำหลักการ วิธีการ ที่ดีมีประโยชน์ของประเทศนอก มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมบ้านเราเมื่อนำเอามาใช้แก้ปัญหาในบ้านเรา ก็ไม่สำเร็จ และอาจจะเกิดวิกฤติมากขึ้นด้วยมีสำนวนจีนใช้ได้เหมาะกับคนประเภทนี้ “ตัดตีนไทยเข้ากับเกือก(ฝรั่ง) แทนที่จะตัดเกือก(ฝรั่ง)ให้เข้ากับตีนไทย”
@ เส้นทางการหลงผิดเข้าใจผิด ที่เห็นดาษดื่นในสังคมไทย คือ “การคิดในกรอบ” และคุยแต่พวกเดียวกันหรือพวกที่อ้าง ติดตามข่าวสาร ก็มุ่งแต่อ่านสื่อ ฟังนักวิชาการ นักการเมือง ที่คิดเหมือนกับตน จึงไม่ได้อะไรใหม่มิหนำซ้ำ กลับทำให้พอกพูนหรือไปเพิ่ม “กิเลสตัณหา ความเชื่อของตนให้หนาขึ้น สะสมทับกันเป็นหมูสามชั้นแทนที่จะ“คิดให้เยอะ ฟังให้มาก ไปร่วมรับฟัง จากหลากหลายกลุ่มความคิด จะได้เกิดปัญญาหลายมุมมอง กลับเชื่อมั่นทิฐิตัณหาของตน เชื่อคนกลุ่มเดียวกัน “เขาบอกนกก็ว่านก บอกไม้ก็ว่าไม้” ทั้งที่คนละเรื่องกันเลย แต่แทนที่จะสำรวจตรวจสอบ หรือสรุปบทเรียน ก็มักกล่าวอ้าง โทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือ คนนั้นคนนี้ ที่มิใช่ตัวกู
@ คนบางส่วน “มักมีอคติ ต่อบางสิ่งในบ้านเรา” :เรื่อง สถาบัน กองทัพ ข้าราชการ กลุ่มทุน คนรวย คนจน ทำให้ “มองในเชิงลบ คิดแบบเดิม ไม่มองความเป็นจริง หรือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” และยิ่งคนเหล่านี้ เป็นผู้นำ เป็นสื่อเป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์ ยิ่งสร้างปัญหาได้มากยิ่งขึ้นเพราะไปสอน ไปเขียน ไปเที่ยวบอกผิดๆ แทนที่จะสอนวิชาความจริง กลับยัด “อคติ” ของตน ใส่หัวเยาวชนทำให้เยาวชน นักศึกษา ออกมาตามเบ้าหลอมแบบพิมพ์ ตามผู้สอน ผู้นำ นักการเมือง ฯลฯ เรื่องอื่นๆ ยังพออนุโลม และมองไปในอนาคต อาจจะแก้ไขได้ หากมีการสรุปบทเรียนของคนคนนั้น
l แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่ และวิกฤติของบ้านเมือง คือ “ระบบการเมืองไทย การเข้าสู่อำนาจรัฐ” “87 ปี แล้วน่ะ เจ้าค่ะ”ที่เรา “นำเข้า Import” ความคิด ประชาธิปไตยเลือกตั้ง มาใช้ในสังคมไทย
แต่เรายังเดินไปไม่ถึง “ประชาธิปไตยที่กินได้แก้ทุกข์สร้างสุขให้ประชาชนได้อย่างแท้จริงเลย” ที่แก้ได้ทำให้ดีขึ้น รวยขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ก็คือ นักการเมือง และนายทุนสามานย์โสมม ที่อยู่เบื้องหลังหรือ “กองทัพ” ที่เข้ามาทำการรัฐประหารเพื่อตัวเอง (เผด็จการทหาร) หรือการแก้วิกฤติความขัดแย้ง ก็ยังไม่มีผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ มีวิสัยทัศน์ กล้าเสียสละ ปฏิรูปปฏิวัติสังคม ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
uเนื้อแท้แล้ว ล้วนแต่ติดในกรอบคิด “ประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบตะวันตก” ไม่กล้าปฏิวัติปฏิรูปสังคมโดยการศึกษาวิจัย ใช้สติปัญญาความจริง สร้างโมเดลที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยที่เป็นจริง โดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ เอาความผาสุกอย่างยั่งยืนของคนไทยเป็นเป้าหมายทุกประเทศ เขาทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยได้สำเร็จ เพราะเอาสังคมประชาชนเป็นหลัก และแต่ละประเทศ มีสภาพและเงื่อนไขทางสังคมต่างกัน, ไม่สามารถใช้หลักการเดียวกันได้
l ประเทศจีน สิงคโปร์ หรือประเทศอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ ฯลฯ เขาก็ใช้วิธีการที่ต่างกัน และเมื่อเขาทำครั้งแรก ด้วยวิธีการหนึ่ง ไม่สำเร็จ เขาก็สรุปบทเรียน วิเคราะห์ แสวงหาวิธีการอื่นที่เหมาะสม
บทพิสูจน์ในทางสังคม และการเมืองรวมทั้งวิถีชีวิต ได้สรุปไว้อย่างชัดเจน
1. “Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results” “เป็นเรื่องไร้เหตุผลมากที่เราจะทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม” คือ ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ใหม่ คุณก็ต้องทำแบบใหม่ ทำแบบเดิมก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม อย่าไปหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ใหม่ (ในทางวิทยาศาสตร์นั้น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์) : ไอสไตน์
2.ในแนวคิดวิภาษวิธี ก็ได้ให้ข้อสรุป หลักการในการแก้ไขความขัดแย้งในสังคมว่า “ความขัดแย้งที่มีคุณภาพต่างกัน ต้องใช้วิธีแก้ที่(มีคุณภาพ) ต่างกัน”
@ มองได้ชัด สำหรับการเลือกตั้งไทย ที่ “นักเลือกตั้ง”ไม่ยอมจะปฏิรูป ให้เป็นการเมืองของประชาชน เพราะระบอบการเลือกตั้งไทย จำกัด เฉพาะนักเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ได้ประโยชน์สูงสุด ไม่เปิดโอกาสคนดีมีความรู้ความสามารถ จากฝ่ายอื่นๆ เข้ามาบริหารประเทศ
@ รัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ ปี ๒๕๖๐ พยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
หลักการ คือ ลดอำนาจพรรคการเมืองเก่า (พรรคของผู้มีอำนาจและกลุ่มทุนใหญ่ทุนสามานย์) เพิ่มอำนาจให้กับประชาชน (พรรคการเมืองของประชาชน) และการมีสว.ที่มาจากประชาชนและการกลั่นกรองเลือกจากฝ่ายรัฐ มาเป็นตัวคานพรรคการเมืองเก่า อีกทั้งการมียุทธศาสตร์ ๒๐ ปี เป็นการวางแผนระยะยาว เพราะการแก้วิกฤติของประเทศต้องใช้เวลานานพอ แต่ก็ถูกนักวิชาการ ที่ไม่เข้าใจไม่มีประสบการณ์จริง และผู้ที่เชียร์ระบบเลือกตั้งเก่าก็มาตั้งข้อกล่าวหาก่อนแล้วโดยไม่เคยสรุปบทเรียนความเป็นจริง เหตุทำไม พรรคการเมืองนักการเมืองเก่าจึงแก้วิกฤติประเทศไทยไม่ได้ !
https://i.pinimg.com/736x/3f/a2/d2/3fa2d2e970a1aec0b3bf24d31870ee67--insanity-quotes-albert-einstein-quotes-insanity.jpg
https://farm5.staticflickr.com/4587/27315614159_a17169d4f8_o.jpg
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี