หลังจากหมอกควัน ฝุ่นจิ๋ว ปกคลุมประเทศไทยมาร่วมสัปดาห์ เมื่อหมอกและฝุ่นจาง 8 กุมภาพันธ์ 2562 พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้ทำให้คนไทยช็อกไปทั้งประเทศ
แต่ในช่วงค่ำ พระราชโองการ “ประกาศ สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ได้ทำให้คนไทยที่เป็นห่วงสังคมการเมืองไทยและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ คลายใจนอนหลับในค่ำคืนวันนั้นได้อย่างอิ่มใจ สบายใจ
ทำให้ต้องหวนคิดว่า หากไม่มีพระราชโองการดังกล่าว จะมีอะไรเกิดขึ้นกับสังคมไทยบ้าง
1. สังคมไทยจะเกิดความสับสน แตกแยก แตกต่างความคิดกันมากขึ้น บ้างก็ดีใจที่ได้บุคคลระดับสูงมาร่วมการเมืองกับตน บ้างก็มึนงงตั้งคำถามถึงท่าทีของสถาบันระดับสูงของไทย ว่าจะอยู่เหนือการเมืองหรือลงมาทำงานการเมืองโดยเลือกฝ่ายเลือกข้างโดยเฉพาะเลือกข้างที่ปรากฏ
2. กรรมการบริหารพรรค ทษช. ได้แถลงข่าวด้วยความยิ้ม กระหยิ่ม คงคิดว่าปรากฏการณ์นี้จะทำให้พรรค ทษช.เป็นที่รู้จัก เป็นที่นิยม เพราะสามารถนำบุคคลระดับสูงมาร่วมเป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค และก็สามารถนำมาซึ่งความนิยมและคะแนนเสียงได้ถึงกับประกาศพร้อมจะนำรูปของท่านออกรณรงค์หาเสียง
พฤติการณ์เช่นนี้ อาจกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนในเรื่องความเป็นกลางทางการเมืองคือ การไม่มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการยินยอมจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เสนอโดยพรรคการเมืองใด แม้ได้ลาออกจากฐานันดรแล้วก็ตาม แต่ประชาชนยังยกย่อง และเชื่อมโยงสายสัมพันธ์กับราชวงศ์ในสถาบันพระมหากษัตริย์
3. การทำงานการเมือง เพื่อมีอำนาจบริหารประเทศ แม้จะถูกต้องสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย แต่จะต้องถูกตรวจสอบ ถูกจับผิด ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ซึ่งก็จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทางอ้อม เพราะจะมีคนคิดวิเคราะห์ไปถึงความเชื่อมโยงในเรื่องนั้นๆ ต่อประมุขของประเทศ ทั้งที่อาจไม่เป็นจริง หรือเป็นจริงก็ตาม
4. สถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยมีความสำคัญต่อความเป็นปึกแผ่น ความสามัคคีของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถาบันที่อยู่มายาวนานคู่กับสังคมประเทศไทย
เพราะเป็นที่นิยมศรัทธา ประชาชนเชื่อใจ รักและไว้ใจผู้อยู่ในสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อสถาบันเป็นศูนย์รวมใจ ศูนย์รวมศรัทธา ก็ทำให้ประชาชนในแต่ละส่วน แต่ละฝ่าย ไม่ต้องการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เดือดร้อน ไม่สบายพระทัย ดังนั้น เมื่อใดที่เกิดเหตุวิกฤติของสังคม หาทางออกได้ยากลำบาก สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถทำให้ประชาชนทุกฝ่ายที่อาจแตกแยก แตกต่าง ยินดีรับฟังและทำตาม
ถ้าไม่มีพระราชโองการในครั้งนี้ ที่ออกมาอย่างทันเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ของพรรค ทษช. ก็ย่อมจะสั่นคลอนสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจของผู้คน
5. การที่พรรค ทษช.ได้เสนอชื่อ และได้รับความยินยอมจากบุคคลในราชวงศ์ระดับสูง แม้จะอ้างว่าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญแล้ว นอกจากเป็นการสร้างคะแนนเสียง คะแนนนิยมแล้ว
ยังเป็นที่เกรงใจต่อข้าราชการพลเรือน ทหารตำรวจ และกรรมการการเลือกตั้ง ว่าจะปฏิบัติต่อท่านอย่างไร เพราะแม้จะได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์มานานแล้ว แต่ทุกคนก็ปฏิบัติ ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติของบุคคลในสถาบันระดับสูงตลอดมา
ข้าราชการเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ย่อมถูกโจมตี ตั้งข้อสังเกตจากสังคมและพรรคการเมืองอื่น
6. หากพรรค ทษช. ได้จัดตั้งรัฐบาล และท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมจะต้องถูกตรวจสอบ อภิปรายในสภา ถูกตรวจสอบจากสื่อมวลชนและกลุ่มประชาสังคม
เริ่มแรกก็อาจเกรงใจ เกรงกลัว ดูท่าที แต่ก็จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะกระทบและไม่เป็นผลดีต่อสถาบันสูงสุด ที่ยากจะแยกให้ขาดจากกันได้
7. ถ้าไม่มีพระราชโองการ ดับเหตุได้ทันท่วงที สื่อมวลชนต่างชาติเริ่มวิเคราะห์แล้วว่าเป็นปรากฏการณ์เริ่มต้นของการสิ้นสุดสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย แม้พสกนิกรจะศรัทธา และเห็นความสำคัญ ประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็อาจจะมีผู้หวั่นไหวไปกับการวิเคราะห์นี้
การเยียวยา ฟื้นฟู สังคมการเมืองไทย
แม้พระราชโองการจะออกมาดับทุกข์ของแผ่นดินได้ทันเวลา แม้พระราชโองการจะได้มีข้อความที่ประทับใจพสกนิกร
“...การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
และ “...พระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
คณะกรรมการการเลือกตั้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะได้ดำเนินการ สอบสวน ลงโทษ พรรคการเมืองที่ได้ “กระทำการมิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” เพราะระเบียบของ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและข้อห้าม ข้อ 17 ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใด นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้นำ “พระบรมราชวงศ์.... ซึ่งไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
จะถือได้หรือไม่ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560
มาตรา 92 การสิ้นสุดของพรรคการเมือง
(1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศไทยโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
(2) การกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี