สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ยังคงอยู่กับประเด็นการจัดอันดับความโปร่งใสโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล (Transparency International) สืบเนื่องจาก “ตั้งแต่การจัดอันดับประจำปี 2559 (ซึ่งเผยแพร่ช่วงต้นปี 2560) มีประเด็นที่คนไทยจำนวนไม่น้อยมองว่าไม่เป็นธรรม นั่นคือการที่ผู้จัดอันดับใส่ความเป็นประชาธิปไตย (VDEM) ลงไปเป็นตัวชี้วัดด้วย” และทำให้คะแนนรวมถึงอันดับของไทยร่วงหล่นลง เพราะหลายคนมองว่าประชาธิปไตยไม่น่าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น พร้อมยกบางประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ก็มีความเจริญก้าวหน้ามาโต้แย้ง
อย่างไรก็ตาม หากมองอีกมุมหนึ่ง “การใส่ตัวชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยเข้ามา อาจจะสมเหตุสมผลแล้วก็ได้” ดังที่ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เคยอธิบายไว้เมื่อครั้งรายงานความโปร่งใสประจำปี 2559 ถูกเผยแพร่ (ทรุดลง...ทรงตัว “ปราบโกง” ฝันอันเลือนราง : หน้า 13 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 10 ก.พ. 2560) ว่าเกณฑ์ดังกล่าวตั้งสมมุติฐานไว้ตรงที่ “ประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีโอกาสเกิดคอร์รัปชั่นได้มากกว่า เพราะไม่มีองค์กรที่จะมาตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ” ซึ่งก็ไม่แปลกที่องค์กรนานาชาติจะเชื่อเช่นนี้
“เพราะหากไปดูเป็นรายประเทศ ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย มีสัดส่วนคละเคล้ากันไประหว่างประเทศที่คอร์รัปชั่นสูงและคอร์รัปชั่นต่ำ แต่ประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้วคอร์รัปชั่นต่ำด้วย มีเพียงสิงคโปร์ ที่แม้จะมีการเลือกตั้งแต่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม ฝ่ายค้านถูกสกัดกั้นทุกทาง และอำนาจที่แท้จริงอยู่ที่กลุ่มผู้นำรัฐบาลมาตลอด แต่เพราะได้ผู้ปกครองดี เอาจริงเอาจัง ฟันไม่เลี้ยงไม่ละเว้นแม้คนทำผิดจะเป็นคนใกล้ตัว ของผู้นำนั่นทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำผิด”...แต่ก็มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้น ไม่มีประเทศอื่นที่คล้ายคลึงกันอีกบนโลกใบนี้
2 ปีผ่านไป..“กรณีสิงคโปร์ที่ว่ากันว่าพิเศษมากๆ จนไทยอยากจะเอาอย่างให้ได้นั้น จริงๆ คนไทยอาจกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปก็ได้” มีคำอธิบายจากนักวิชาการ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กล่าวไว้ในงานสัมมนา “ตั้งโจทย์-ตอบอนาคต : วาระการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง หัวข้อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น” ณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะกลไกประชาธิปไตยต่างหากที่ทำให้รัฐบาลลอดช่องมีความโปร่งใส
อาจารย์ประจักษ์อธิบายว่า แม้สิงคโปร์จะถูกปกครองด้วยพรรคการเมืองเดียวอย่าง พรรคกิจประชา (People’s Action Party - PAP) แต่ที่ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าและมีความโปร่งใสก็เพราะ “ทุกๆ 5 ปี รัฐบาลต้องขอความเห็นชอบว่าจะให้อยู่ต่อหรือไม่จากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง” ซึ่งพรรคกิจประชา ก็ทราบดีว่าคนสิงคโปร์ต้องการ 2 เรื่อง 1.ทำให้เศรษฐกิจดี ผู้คนกินดีอยู่ดี 2.รัฐบาลมีภาพลักษณ์ดี หรือก็คือมีความโปร่งใส ป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง ดังนั้น พรรคต้องทำทั้ง 2 ข้อ อย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความชอบธรรมและไม่ให้แพ้การเลือกตั้ง
“เขาไม่มีวันปล่อยให้คนในพรรคมีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นอื้อฉาวเด็ดขาด การที่เขาทำให้เด็ดขาดให้เห็นเป็นตัวอย่าง ยิ่งทำให้เขามีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูง ตรงนี้จะบอกว่าสิงคโปร์มีรูปแบบการปกครองเป็นแบบกึ่งเผด็จการก็ได้ แต่เป็นกึ่งเผด็จการที่อย่างไรก็ต้องกลับไปแสวงหาความชอบธรรมจากประชาชน กลไกการตรวจสอบจากประชาชนมันจึงยังทำงานอยู่ สุดท้ายเขายังต้องโดนตัดสินจากประชาชน มันไม่ใช่พรรค PAP จะอยู่ในอำนาจไปได้เรื่อยๆ โดนประชาชนไม่มีสิทธิ์มาตัดสิน” อาจารย์ประจักษ์ กล่าว
นอกจากสิงคโปร์แล้ว จีน ก็เป็นอีกประเทศที่คนไทยบางส่วนอยากให้ประเทศไทยเอาอย่างเหลือเกินเพราะไม่เป็นประชาธิปไตยแต่มีความเจริญเทียบชั้นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา แถมยังมีข่าวปราบเจ้าหน้าที่รัฐธุรกิจถึงขั้นประหารชีวิตไปหลายราย เรื่องนี้ อาจารย์ประจักษ์ระบุว่า “จริงๆ แล้วเมืองจีนมีปัญหาคอร์รัปชั่นสูง แต่คนที่ถูกลงโทษนั้นมักเป็นศัตรูทางการเมืองของผู้มีอำนาจ” ในสังคมจีนนั้นทราบกันดีว่าถ้าใครที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกับผู้มีอำนาจ เรื่องอื้อฉาวทั้งหลายที่คนคนนั้นซุกซ่อนไว้ก็จะไม่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ผู้นี้ ยังกล่าวต่อไปว่า “ในประเทศต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในระยะแรกปัญหาการทุจริตก็ยังรุนแรงอยู่” เพราะกลไกตรวจสอบที่ควรมีนั้นยังไม่ถูกสร้างขึ้นมา ประกอบกับกลุ่มอำนาจเก่าที่สูญเสียสถานภาพผู้นำไปก็ยังพยายามจะต่อสู้เพื่อกลับมามีอำนาจ รวมถึงต่อสู้เพื่อไม่ให้เกิดกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจขึ้น
“แต่ในระยะยาวหากปล่อยให้ประชาธิปไตยทำงานต่อไป กลไกการตรวจสอบต่างๆ ก็จะเริ่มทำงาน ประกอบกับระบอบประชาธิปไตยเอื้อต่อการมีตัวละครเกิดขึ้นหลากหลาย จึงยากที่จะมีใครหรือกลุ่มใดผูกขาดอำนาจไว้เพียงฝ่ายเดียว” เพราะในสังคมประชาธิปไตยจะมีทั้งภาคประชาสังคม (NGO) มีทั้งสื่อมวลชนร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจของภาครัฐ ซึ่งมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าเมื่อมาถึงระยะนี้ได้คอร์รัปชั่นก็จะค่อยๆ ลดลง
ทั้งหมดนี้อาจารย์ประจักษ์จึงสรุปว่า “สังคมไทยต้องเปลี่ยนทัศนคติก่อน” จากที่ผ่านมา “สังคมไทยมักเชื่อกันว่าต้องมีผู้ปกครองที่มีอำนาจเด็ดขาดจึงจะแก้ทุจริตได้ ทั้งที่ทั่วโลกพิสูจน์มาแล้วว่ายิ่งมีอำนาจมากยิ่งคอร์รัปชั่นมาก” ในทางตรงกันข้าม “อำนาจแบบเด็ดขาด ถ้ามองให้ลึกมักพบว่าถูกใช้เพื่อปกป้องพวกพ้องมากกว่า” ผ่านการใช้เพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
“เวลาเราไปยกตัวอย่างประเทศที่เราเชื่อว่าต่อสู้กับคอร์รัปชั่นได้ดี เราไปยกกรณีที่มันเป็นข้อยกเว้น แทนที่จะไปยก 30-40 ประเทศ ที่เขาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีการมีส่วนร่วมของประชาชน สื่อมีเสรีภาพ แล้วต่อสู้กับคอร์รัปชั่นได้ดี ทำไมเราไม่ไปเอาตัวอย่างประเทศเหล่านี้ซึ่งมีทั้งประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพของประชาชน และมีการคอร์รัปชั่นต่ำ แต่จะต้องไปแสวงหาให้ได้ว่ามันต้องมีสัก 1 ประเทศ ในโลกที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยม ไม่ต้องมีประชาชนมีสื่อเข้ามามีส่วนร่วมแล้วยังต่อสู้กับคอร์รัปชั่นได้” อาจารย์ประจักษ์ ฝากข้อคิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี