เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2562 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค ในหัวข้อ“11 เหตุผลที่ต้องเลือกลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง”
ผมอยากเห็นทุกพรรคการเมืองสรุปถึงตัวผู้นำแบบนี้ ซึ่งจะเป็น “ต้นทาง” ของการนำมา “ถกแถลง” ใคร่ครวญ หาจุดดี-จุดด้อย ก่อนนำไปสู่การตัดสินใจของประชาชนคนเลือก
ดังนั้น ผมขอ “แลกเปลี่ยนความเห็น” กับ ดร.สุวิทย์ ไปทีละข้อเลยนะครับ
ดร.สุวิทย์ เกริ่นนำว่า “...ท่านคงได้รับทราบแล้วว่าพรรคพลังประชารัฐได้มีมติเสนอรายชื่อบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมขอใช้โพสต์นี้ แชร์เหตุผลกับที่พล.อ.ประยุทธ์ หรือ “ลุงตู่” ของพวกเรา เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนี้ครับ...”
1. ท่านเป็นผู้ที่นำความสงบกลับคืนสู่ประเทศไทย ในช่วงที่ประเทศเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง
ความเห็น : ข้อนี้แย้งไม่ได้ เพราะท่านคือหัวหน้า คสช. ที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในเวลาที่ส่อเค้าว่า “สงครามกลางเมือง” กำลังจะเกิดแล้ว มีคนกำลังสร้าง “ม็อบชนม็อบ” มีการเคลื่อนไหวของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่น่ากลัว และฝ่ายความมั่นคงตรวจจับได้ ประกอบกับรัฐมนตรีรักษาการเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ หลังศาลตัดสินคดีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ว่าไม่ชอบ ทำให้รัฐมนตรีแทบจะพ้นไปทั้งคณะ ส่วนที่เหลืออยู่ก็ไม่เหลืออำนาจที่จะทำอะไรได้ แม้กระทั่งนำบ้านเมืองสู่การเลือกตั้ง จึงเกิดทางตัน ฝ่าย กปปส. พยายามเสนอให้ใช้ทางออกในรัฐธรรมนูญ คือ ให้ สว. นำรายชื่อผู้เป็นนายกฯ ขึ้นกราบบังคมทูล แต่สมาชิกวุฒิสภาในเวลานั้น เห็นเป็นเรื่องอ่อนไหว หากจู่ๆ จะนำกระบวนการดังกล่าวมาใช้ โดยที่ยังมีรัฐมนตรีรักษาการนั่งอยู่
ท่ามกลางความตึงเครียดภายนอก ฝ่ายกองทัพจึงใช้อำนาจตามกฎหมายประกาศ “กฎอัยการศึก” เพื่อควบคุมสถานการณ์ด้านความมั่นคง และให้ฝ่ายการเมือง หาข้อยุติเพื่อเป็นทางออกให้แก่ประเทศ แต่รัฐมนตรีรักษาการจำนวนน้อยนิดนั้นยืนกราน “ไม่ลาออก” ไม่ลาออกในที่นี้ เท่ากับ “ไม่เปิดทางออกให้ประเทศ” นะครับ ไม่ใช่การรักษาสิทธิของตัวเอง เล่าลือกันว่าผู้ที่กล่าวคำว่า “นาทีนี้ผมยังไม่ลาออก” คือ หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย นายชัยเกษม นิติสิริ ทำให้ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยึดอำนาจ ทางตันเรื่องคณะรัฐมนตรีรักษาการทำอะไรไม่ได้ก็จบไป ความขัดแย้งทางการเมืองที่จะลามเลยขึ้นสู่เบื้องสูง
ก็จบไป สงครามกลางเมืองแบบ “ม็อบชนม็อบ” ก็จบไป พูดได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ช่วย “หยุดความรุนแรง” หลายด้าน อย่างทันท่วงที ประชาชนไชโยโห่ร้อง นำดอกไม้ไปมอบให้แก่ทหารกันอย่างมากมาย ไม่ใช่ยินดีปรีดาที่บ้านเมืองมีรัฐประหาร แต่ยินดีว่า ความน่ากลัวที่หลายคนกังวล จบสิ้นเสียที
แต่จะยึดเอาความดีตรงนั้น มาสู่ “ความดีพอ” ที่ท่านจะเป็นนายกฯคนต่อไปหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้ เพราะสถานการณ์ต่างไปแล้ว หลังการเลือกตั้ง เราพูดถึง “ฝีมือในการบริหารบ้านเมือง” ให้หลุดพ้นจากความขัดแย้ง จากความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้า และโอกาสในการพัฒนาบ้านเมืองของเรา พล.อ.ประยุทธ์ คือ “นักบริหารเศรษฐกิจ?” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่? คณะบุคคลรายรอบตัวท่านล่ะ เป็นอย่างไร นี่คือประเด็นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมครับ คราวก่อนท่านดับความขัดแย้ง คราวนี้ท่านอาจเป็นผู้ชักนำความขัดแย้งเสียเองก็ได้ เพราะคนมองว่า มีการ “ปูทาง” อย่างไม่ชอบธรรมต่อการแข่งขันในสนามเลือกตั้ง รองรับท่านไว้มากมาย
2.ท่านมีบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยที่เป็นผู้นำสูง ซึ่งหายากและเหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำประเทศ
ความเห็น : ท่านเป็นผู้นำในลักษณะไหนครับ ผู้นำเหล่าทัพ หรือผู้นำประชาชนในสังคมประชาธิปไตย ท่านฟังการโต้แย้งได้ไหมครับ ท่านฟังความเห็นต่างได้ไหมครับ ท่านฟังการวิพากษ์วิจารณ์ตัวท่านได้ไหมครับ ท่านตอบคำถามสื่อมวลชนด้วย “วุฒิภาวะทางอารมณ์” ที่ดี ได้เสมอไปไหมครับ เพราะประเทศชาติไม่ใช่เหล่าทัพ และประชาชนไม่ใช่พลทหาร การนำอ้าง “ลักษณะนิสัยความเป็นผู้นำ” ต้องชี้ให้ชัดครับ ว่านำพลทหารของกองทัพ หรือนำประชาชนในสังคมประชาธิปไตย
3.ท่านกล้าตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ หลายๆ เรื่องที่น้อยคนนักจะกล้าในช่วงเวลาเช่นนั้น
ความเห็น : ถกแถลงลำบาก เพราะไม่ยกตัวอย่าง แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเทวกุล เคยยกตัวอย่างความโลเลในการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ไว้หลายเรื่อง ฝาก ดร.สุวิทย์ อธิบายในตัวอย่างเหล่านั้นให้ด้วย
4.ท่านเป็นคนทำจริง ทำได้ และทำสำเร็จให้เห็นดังผลงานตลอด 4 ปีที่่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา
ความเห็น : ก็อยากให้ยกตัวอย่างอีกเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้น คุยกันลำบาก เพราะเป็นลักษณะตีขลุม ผมยกตัวอย่างความสำเร็จที่ผมชอบก็แล้วกันคือเรื่อง การแก้ปัญหาการบิน หรือไอเคโอ อันนี้ฉับไวมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายของบ้านเมืองจริง อีกเรื่องคือเรื่องไอยูยูฟิชชิ่ง หรือปัญหาการประมง แม้เราจะปลดธงที่สหภาพยุโรปปักลงได้ แต่ “นรกไม่รู้กี่ขุม” ก็กัดกินราษฎรที่เดือดร้อนจากเรือถูกยึด คนงานถูกจับ ออกเรือไม่ได้ เป็นหนี้เป็นสิน สิ้นเนื้อประดาตัวอยู่เป็นจำนวนมากในเวลานี้ ได้แก้ไขเยียวยาและรักษาลมหายใจให้เขาเหล่านั้นแล้วหรือยัง ปัญหา “ยางพารา” ที่รู้ปัญหาเขาเสนอทางแก้ดีๆ ให้หลายข้อ กี่ปีครับ กว่าจะ “ได้ยิน” เสียงของพวกเขา เสียงแห่งความทุกข์ที่ร่ำระงม การรับปากใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นในประเทศ เหมือนเสลดที่ถูกขากทิ้งอยู่เนืองๆ ชนิดให้กระทรวง ทบวง กรม และเหล่าทัพ เสนอว่าใครจะใช้ยางพาราไปทำอะไรบ้าง คึกคักมาก แต่ก็ไม่ได้ทำ จนจวนตัวแล้ว ถึงมาเริ่มทำเรื่อง “ถนนยางพารา” ก่อนการเลือกตั้งจะมานี่เอง
5.ท่านอาสาเข้ามาบริหารประเทศอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นนอมินีหรือร่างทรงของใครทั้งสิ้น
ความเห็น : ก็น่าสนใจ แต่ความเป็น “ตัวจริง” นั้นเรื่องหนึ่ง ความมีฝีมือในทางบริหารก็สำคัญนะครับ ทีมงานก็สำคัญนะครับ ไปตระเวนดูดมาจากไหน กี่มุ้ง กี่สัญญา กี่เงื่อนไข กี่วิธีการ บอกได้ไหมครับ ท่านอาสามาเป็นตัวจริง บน “อิฐรองตีน” ประเภทไหนครับ เพื่อจะขึ้นสู่เก้าอี้แห่งอำนาจ “วิธีการ” ที่พวกท่านใช้ “สง่างาม” ดีไหมล่ะครับแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ด้วยบทเฉพาะกาล กี่เรื่องกี่รอบครับ ใช้ ม.44 ปลดกรรมการ กกต. และให้ท้าย กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไม่มีความผิด ต้องเอามาพินิจพิจารณาประกอบกับความไม่เป็นร่างทรงด้วยไหมครับ ท่านอาจไม่เป็นร่างทรงของใคร แต่ใครเป็นร่างทรงของท่านบ้างครับ เช่น สว. 250 คน ที่ท่านในฐานะหัวหน้า คสช. ได้สิทธิเลือกแทนประชาชน 70 ล้านคน นี้ จะให้เรามองอย่างไรดีครับ แถมไปใส่บทเฉพาะกาลให้ สว.ของท่าน มาก้าวก่ายการโหวตเลือกนายกฯ ที่คนทั้งประเทศใส่คะแนนเลือกมาได้ด้วย งามไหมครับ?
6.สิ่งที่ท่านได้ตัดสินใจเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นว่าท่านมิได้มีผลประโยชน์ซ่อนเร้น แต่มาจากการเสียสละของท่านที่แท้จริง
ความเห็น : ครับ ตัวท่านอาจไม่มีประโยชน์ซ่อนเร้น แต่สมัครพรรคพวกของท่านล่ะครับ คนรอบตัวท่านล่ะครับ รวมถึงคนที่พรรคที่รองรับท่านในการเลือกตั้งครั้งนี้ “ดูด” มาล่ะครับ ผุดผ่องผุดผาดกันดีใช่ไหม?
7.สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากการทำงานร่วมกับท่านมาตลอดระยะเวลา 3 ปีนั้นผมรับรู้ได้ว่าท่านรักประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
ความเห็น : ผมไม่เคยทำงานกับท่าน ก็สัมผัสได้ในสิ่งนี้ แต่ผมยังไม่มั่นใจที่จะฝากปัญหาเศรษฐกิจไว้กับท่าน และกำลังรู้สึกว่า ท่าน “ได้อำนาจไปมากพอแล้ว” ทั้งการได้เลือก สว. การได้อยู่ในกรรมการต่างๆ เช่น ปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ ดังนั้นเพื่อความสมดุลแห่งอำนาจ ผมจะเลือกคนอื่นมาถ่วงดุลท่านครับ ผมไม่เชื่อว่าทั้งประเทศมีแต่ท่านเท่านั้นที่รักประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่ได้ระแวงท่าน แต่ “คนของท่าน” “ฝีมือในการบริหาร” ที่ไม่เหลืออำนาจพิเศษใดๆ ของท่าน และ “อารมณ์ของท่าน” ผมกังวลครับ
8.ถึงแม้ท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีบุคลิกที่เป็นผู้นำ แข็งแกร่ง แต่ในอีกด้านท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ติดดิน ประชาชนเข้าถึงและพึ่งพาท่านได้
ความเห็น : ท่านเป็นผู้นำในการ “ปกครอง” มากกว่าเป็นผู้นำในการ “ปกป้อง” และ “การบริหาร” นะครับผมว่า นอกเหนือจากแข็งแกร่ง ท่านก็ “แข็งกระด้าง” ด้วย สถานการณ์หลังเลือกตั้ง ท่านควรเป็นผู้กำกับในหน้าที่อื่นๆ เช่น กำกับยุทธศาสตร์ชาติ กำกับการปฏิรูป กำกับทิศทางการทำงานของ สว.ที่ท่านเลือกมา ประชาชนก็พึ่งพาท่านได้ โดยไม่ต้องมาแทรกแซง “สภาที่ประชาชนเขาเลือกตัวแทน” เข้ามา ลองย้อนกลับไปดูสิครับว่า คราใดก็ตาม ที่อำนาจเทไปกองอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปแล้ว วิกฤติก็เกิดขึ้นทุกที มาสร้างดุลยภาพ ตรวจสอบ และถ่วงดุลกันอย่างพอเหมาะพอดี ก็น่าจะดีกับบ้านเมืองนะครับ
9.ท่านเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองการณ์ไกล ดังเห็นได้จากท่านได้วางนโยบาย Thailand 4.0 หรือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนในระยะยาว
ความเห็น : พอดีผมนึกไม่ออกว่า อะไรคือความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ชนิดที่สะท้อนความมี “วิสัยทัศน์” อันน่าทึ่ง เช่นกันกับ “ยุทธศาสตร์ชาติ” วันนี้มีประชาชนหน้าไหนได้เห็นรายละเอียดของมันบ้างครับ นอกจากกรอบกว้างๆ ประเภทเดียวกับเพลง “เด็กเอ๋ย เด็กดี ต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน” อะไรทำนองนี้ เดิมทีก็ใช่ว่าชาติไม่มีทิศทางนะครับ เรามีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ไม่ค่อยได้ต่างจากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ไม่ได้นานเท่านั้นแค่นั้นเอง แต่พูดก็พูดเถอะ แค่ 4-5 ปี ที่ท่านอยู่ในอำนาจ โลกก็เปลี่ยนแปลงจนแทบหมุนตามไม่ทันใครจินตนาการโลกใน 20 ปีข้างหน้าออกบ้าง ยุทธศาสตร์ 20 ปี เปิดให้มี“การมีส่วนร่วม” ของใครบ้าง โดยเฉพาะคนที่จะต้องปฏิบัติใน 20 ปีข้างหน้าวันนี้ มีใครเห็นหัวไหม มีใครถามความต้องการของเขาไหม ทุกอย่างทำในระบบที่เห็นประชาชนเป็นพลทหารทั้งสิ้น
อย่างว่าแต่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเลย แค่ “สังคมสูงวัย” ที่อีก 3 ปี 5 ปี จะมาถึงแล้วนี่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมการอะไรไว้บ้างล่ะครับ แม้แต่นโยบายของพรรคการเมืองเวลานี้ ก็พูดถึงเรื่องนี้กันน้อยมาก ทั้งๆ ที่เราเห็นความน่ากลัวของสังคมสูงวัยในหลายๆ ประเทศแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ “เตรียมประชาชน” ของเรา ให้พร้อมเผชิญหน้ากับสังคมสูงวัยนั้นเลย ต้องรอให้ปัญหาเกิดก่อน แล้วค่อยบอกให้ประชาชนรับมืออย่างนั้นหรือครับ
10.การที่ท่านเข้ามาบริหารประเทศในช่วงภาวะวิกฤติที่ผ่านมานั้น หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของท่านคือการสร้างรากฐานประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับประเทศไทยในระยะยาว
ความเห็น : ประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ รัฐธรรมนูญที่มี “คำถามพ่วง” เอื้อประโยชน์ให้คนบางคน บางกลุ่มน่ะหรือครับ ประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ต้องรอ 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วถึงจะมีผลบังคับใช้น่ะหรือครับ ประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ สว. เลือกโดย คสช. แทนคน 70 ล้านคน ในประเทศน่ะหรือครับ แถมไม่ได้เลือกแค่รอบนี้ด้วยนะ สว.รอบหน้า ก็ยังเลือกด้วยระบบนี้อยู่ โอ้โห...สุดยอดประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยครับ ยังไม่รวมการใช้ ม.44 ปลด กรรมการการเลือกตั้งโดยไม่ระบุความผิด หรือการขาดคุณสมบัติ ใช้ ม.44 ให้ กกต.แบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไรก็ได้ โดยไม่มีความผิด รากฐานประชาธิปไตยที่แท้จริงในระยะยาว ที่เริ่มจาก ว่าที่นายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ สามารถเลือก สว. ได้ 250 คน ไปรอโหวตให้ตัวเองเป็นนายกฯ น่ะหรือครับ?
11.ท่านเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่มีอารมณ์หลากหลายดังเช่นคนทั่วไป แต่หนึ่งในบุคลิกภาพที่โดดเด่นของท่านที่พวกเราทุกคนสัมผัสได้คือ การมีอารมณ์และความสามารถแบบศิลปินในด้าน
การประพันธ์บทกลอนต่างๆ ท่านเข้าถึงจิตใจของประชาชน เราจะเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่น จริงใจและอารมณ์ขันของท่านในทุกครั้งที่ท่านได้พบปะกับพี่น้องประชาชน แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ปุถุชนของท่านเมื่อมีสิ่งไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เป็นธรรมดาที่ท่านจะมีอารมณ์หงุดหงิดบ้าง
ความเห็น : หูววววว... อย่างนี้ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ น้าหงา คาราวาน ก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้เลยน่ะสิครับ ผมเคยสนทนากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าเป็นนายกฯ นี่ เป็นมนุษย์ปุถุชนไหมครับ เห็นถูกเสื้อแดงไล่ตีแทบเป็นแทบตาย ไม่เห็นออกมาด่า ออกมาหงุดหงิดเลย ก็ได้คำตอบว่า ที่จริงมนุษย์ก็คือมนุษย์ มีความเป็นปุถุชนกันทุกคนแหละ แต่เขาตระหนักถึงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีของประเทศ” ที่ต้องให้เกียรติ และรักษาเกียรติของตำแหน่งนั้น เขาจึงไม่อาจอ้างความเป็นปุถุชน มากระทำกิริยามารยาทที่ทำให้คนในชาติอาจอับอาย ไร้เกียรติ ซึ่งอันนี้คงจะเป็นมุมมองและการเลือกปฏิบัติตาม “กำพืด” ของแต่ละคนกระมังครับ
ขอบคุณ “การอวย” อย่างกล้าหาญของ ดร.สุวิทย์ครั้งนี้จริงๆ
มันทำให้เรานึกออกว่า มหาบุรุษหลายท่านต้องมีอัน “เสื่อมลง” เพราะการสอพลอของคนใกล้ชิดนี่เอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี