วันที่ 19 ก.พ.นี้เป็นวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมที่เรียกว่า “โอวาทปาฏิโมกข์” แก่พระภิกษุ 1,250 รูป ที่มาพบกันโดยมิได้นัดหมาย ให้พระภิกษุดังกล่าวนำไปเป็นแนวทางในการสอนเผยแผ่หลักธรรมแห่งหัวใจสำคัญในพระพุทธศาสนา 3 ประการ คือ ละบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์
พุทธศาสนิกชนทั้งหลายทราบดีในหลักธรรมดังกล่าว
เมื่อทราบดีแล้วก็ต้องปฏิบัติตนให้ได้ตามหลักธรรมดังกล่าว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในพระพุทธศาสนาที่สอนไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งปวง การทำบุญทำกุศลต่างๆให้ถึงพร้อม และการทำจิตให้บริสุทธิ์
โดยเฉพาะในเรื่องการทำจิตให้บริสุทธิ์และผ่องใส เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส จะทำให้มีพลังเข้มแข็งทั้งร่างกายและสติปัญญา จิตใจที่สงบและแจ่มใสไม่ขุ่นมัว เปรียบเสมือนแสงสว่างที่สามารถส่องให้เห็นความที่ควรหรือไม่ควร ว่าสิ่งใดควรปฏิบัติและสิ่งใดไม่ควรปฏิบัติ
ตรงกันข้ามกับใจที่วุ่นวาย ใจที่ไม่แจ่มใส ซึ่งเปรียบเหมือนความมืด ไม่สามารถช่วยให้เห็นความถูกต้อง ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มีแต่จะพาไปผิดพลาดทั้งสิ้น
พุทธศาสนิกชนที่นับถือพระพุทธเจ้า ต้องไม่นับถือเพียงปากที่พูด แต่ต้องนับถือให้ถึงใจ และการนับถือให้ถึงใจนั้นก็หมายความว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอน ทรงวางหลักการสำคัญอย่างใดไว้ ก็ต้องนับถือให้ถึงใจด้วย
ไม่มีอำนาจของบุคคลใดที่จะสามารถบังคับบัญชาให้ใครแก้ไขตัวเองได้ นอกจากอำนาจใจของเจ้าตัวเองเท่านั้นที่จะบังคับตัวเอง ทั้งต้องเป็นอำนาจใจที่เกิดจากปัญญาความเห็นถูกด้วย จึงจะสามารถนำให้หันเข้าแก้ไขตนเอง
ความพยายามทำความเชื่อให้เกิดขึ้นแน่นอนมั่นคงกับตัวเองให้ได้ก่อน คือเชื่อว่าการแก้ที่ตนเองนั้นสำคัญที่สุด และความเชื่อดังกล่าวนี้เกิดขึ้นกับคนทุกคนแล้ว ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมในชาติบ้านเมือง แม้กระทั่งในโลกนี้
ทุกคนจึงควรแก้ที่ตัวเองก่อนให้ได้ แก้ให้ใจที่เร่าร้อน วุ่นวาย ด้วยอำนาจของความอยากคือกิเลส ในโลภ โกรธ หลง ให้กลับเป็นใจที่สงบ เย็น และบางเบาจากความอยากให้สงบเย็นลง และลดลง ใช้สติและปัญญาให้ถูกตามความเป็นจริงแล้ว ความดีจะตามมา
และการทำดีต้องไม่มีพอ
ต้องทำดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครที่จะประมาณได้ว่า เมื่อใดจะตกไปในที่มืด และมืดมิดขนาดไหน
การมีแสงสว่างไว้ก่อนนั้นไม่ขาดทุน ไม่เสียหาย แต่จะช่วยให้ลอดพ้นการสะดุด หกล้ม ตกเหว ตกคูจนถึงตายได้
ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อย่างนี้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ก็ได้มาจากคำสอนของพระคุณเจ้าหลายท่าน และท่านผู้รู้หลายคน ซึ่งอยากนำมาพูดสู่กันฟัง
โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจในมือขณะนี้
รู้จักหาแสงส่องใจให้ใจสว่างไม่มัวเมาในอำนาจ
ทำอะไรให้นึกถึงคนอื่นด้วยตลอดเวลาว่า ทุกคนในบ้านเมืองล้วนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายเหมือนๆกัน จะใช้อำนาจอะไรตามใจอยากเป็นสิ่งไม่บังควร ฝึกหัดใจให้อ่อนโยน สุภาพ พูดจานุ่มนวลไม่หยาบคายอย่างที่เห็นหลายครั้งหลายหน
ขอฝากคำเตือนสติของ “เจ้าคุณนรรัตน์ฯ แห่งวัดเทพศิรินทร์ ที่สอนไว้ด้วยคำกลอนดังต่อไปนี้มาให้อ่านด้วย
“l เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้
เผลอเมื่อไร เสือกิน สิ้นทั้งขน
เป็นคนต้อง เกรงเยงยำ น้ำใจคน
เขาถ่อมตน อย่าเหมา ว่าเขากลัว
l เขาไม่สู้ อย่าเหมา ว่าเขาหนี
คชสีห์ หรือจะสู้ หมูชั่ว
วางตนสม คมประจักษ์ ในฝักตัว
ชาติคนชั่ว ลบหลู่ อย่าสู้มัน
l เมื่อน้ำไหว ไหลเชี่ยว เป็นเกลียวกล้า
เอานาวา ขวางไว้ ภัยมหันต์
เรื่องของคน ปนยุ่ง นุงนังครัน
ต้องปล่อยมัน เป็นไป ใจสบาย
l อวดฉลาด พูดออก บอกว่าโง่
ฟังเขาโอ้ อวดอ้าง อย่างขวางเขา
ขัดคอเขา เขาโกรธ พิโรธเรา
เป็นเรื่องเร่า ร้อนใจ ไม่เป็นการ
l ใครมีปาก อยากพูด ก็พูดไป
เรื่องอะไร ก็ช่าง อย่าฟังขาน
เราอย่าต่อ ก่อก้าว ให้ร้าวราน
ความรำคาญ ก็จะหาย สบายใจ”
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี