จากวันนี้ไปก็เหลือเวลาเพียง 33 วัน ก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องทั้งหลายจะต้องป้องกันไม่ให้มีการโกงเลือกตั้ง หรือการเอาเปรียบฉ้อฉล หรือฉ้อโกงการเลือกตั้งในทุกกรณี
ในขณะนี้ก็มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งอยู่เป็นอันมาก ทั้งในเรื่องการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ทั้งในเรื่องที่พรรคการเมืองทำผิดกฎหมายที่ถึงขั้นยุบพรรคก็มีอยู่หลายพรรค และในเรื่องที่ทุจริตฉ้อฉลในการเลือกตั้งก็มีกันกลาดเกลื่อน เป็นเรื่องที่ กกต. จะต้องชำระสะสางให้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง
กกต. ได้สร้างบรรทัดฐานการพิจารณาเรื่องการยุบพรรค ทษช. ในการพิจารณาเพียงสองวัน ก็เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรค ทษช. ไปแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญก็ได้สร้างบรรทัดฐานการพิจารณารับคำร้องเพียงวันเดียว ดังนั้นระยะเวลาดังกล่าวนี้ก็จะเป็นบรรทัดฐานที่ทุกฝ่ายจะใช้อ้างอิงเรียกร้องเอากับ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญได้
มิฉะนั้นก็จะถูกกล่าวหาได้ว่าลำเอียงหรือไม่เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีการตั้งประเด็นเป็นกระแสขึ้นมาแล้วว่าทำไมการร้องเรียนบางพรรคการเมืองว่าทำผิดจึงไม่มีการพิจารณาหรือไม่มีความคืบหน้าตามบรรทัดฐานที่กระทำกับพรรค ทษช.
ส่วนในสนามเลือกตั้งนั้น ก่อนหน้านี้บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายแม้จะสมัครเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมาก และมีผู้สมัครร่วม 7,000 คน เป็นจำนวนมากที่สุดของการเลือกตั้งประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงจำแนกออกได้เป็นสามกลุ่ม
คือกลุ่มที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคเล็กพรรคน้อยอีกบางพรรค
คือกลุ่มที่สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร หรือเกี่ยวข้องอยู่กับนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคเพื่อธรรม พรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น
คือกลุ่มที่เป็นขั้วที่สาม คือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคภูมิใจไทย โดยพรรคภูมิใจไทยนั้นก่อนหน้านี้ก็ถูกมองว่าเป็นพันธมิตรกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ระยะหลังหัวหน้าพรรคประกาศตนเป็นนายกรัฐมนตรีแข่งกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างชัดแจ้งไปแล้ว
สภาพสามก๊กสามกลุ่มนั้นก็คงผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะในการดีเบตต่อหน้าสาธารณะนั้น พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายรวมทั้งพรรคอนาคตใหม่ได้ประกาศว่า จะไม่ร่วมงานทางการเมืองหรือจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐโดยเด็ดขาด
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐไม่ยอมตอบคำถามว่า ถ้าพรรคอื่นมีเสียงข้างมากจะไปขอเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่
สำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้นยืนยันว่าพร้อมจะร่วมรัฐบาลกับทุกพรรค แต่ต้องนำนโยบายพรรคไปใช้เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วย
นั่นคือสภาพจุดยืนในการจัดตั้งรัฐบาลของแต่ละกลุ่มแต่ละพรรค ซึ่งประชาชนยังคงต้องติดตามตรวจสอบกันต่อไป
ส่วนในสนามเลือกตั้งนั้น ยังคงต้องรอขั้นตอนการเพิกถอนผู้สมัคร สส. ที่ขาดคุณสมบัติ ซึ่งมีรายงานข่าวว่าจะมีจำนวนเกือบ 600 คน ซึ่งเกือบ 10% ของผู้สมัคร จึงอาจเกิดแรงกระเพื่อมผลกระทบครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เพราะคงมีการร้องต่อศาลกันจ้าละหวั่น ในขณะที่เวลาเลือกตั้งก็เหลือน้อยเต็มที
แม้กระนั้น พรรคการเมืองต่างๆ ก็ได้ออกสนามขับเคลื่อนกันอย่างคึกคัก มีการทำโพลล์จริง โพลล์ปลอม โพลล์รับจ้าง โพลล์ขี้ข้า ออกมากันอุตลุด บางพวกก็จุดกระแสโพลล์ว่าใครได้รับการสนับสนุนให้เป็นายกรัฐมนตรีมากที่สุด บางพวกก็ทำโพลล์ในลักษณะที่ประชาชนนิยมพรรคการเมืองใดมากที่สุด
โพลล์สองประเภทนี้ต้องถือว่าโพลล์ที่ถือความนิยมพรรคการเมืองมีคุณค่าที่จะพิจารณามากกว่าโพลล์ที่ถือเอาใครเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองที่สนับสนุนได้รับเสียงข้างมาก
พรรคประชาธิปัตย์อาศัยความเก๋าทางการเมือง จัดขบวนรบทางการเมืองครั้งนี้ประกอบด้วย คนรุ่นใหม่จำนวนมาก แต่ที่น่าแปลกก็คือนอกจากนโยบายที่เป็นนามธรรมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแล้ว กลับแข่งขันด้วยนโยบายประชานิยมอย่างน่าตกใจ
พรรคพลังประชารัฐ แม้อาศัยความได้เปรียบสารพัดเรื่อง แต่ขบวนทัพนั้นล้วนเป็นพวกมือใหม่หัดขับ ส่วนพวกมือเก๋าบ้างก็เปิดหน้าออกมามากไม่ได้ เพราะผลงานในอดีตตรึงตาตรึงใจประชาชนไม่รู้เลือน ดังนั้นจึงขาดพลังทางการเมือง
พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่มีความเก๋าทางการเมือง มีองค์กรจัดตั้งทั้งระดับภาคและระดับจังหวัด หยั่งรากลึกมาในชนบทไทยทั้งภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางเป็นเวลาถึง 15 ปี นโยบายเรื่องกองทุนหมู่บ้านยังเป็นที่ถวิลหาของราษฎรในชนบท ดังนั้นผลโพลล์เกี่ยวกับพรรคแทบทุกโพลล์จึงตรงกันเป็นส่วนใหญ่ว่า เป็นพรรคที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และที่น่าแปลกใจก็คือตามมาด้วยพรรคอนาคตใหม่ ในขณะที่พรรคดังๆ หลายพรรคอยู่ลำดับ 4,5 และ 6 อย่างน่าตกใจ
ผลโพลล์เปิดดังกล่าวว่ากันว่าเป็นทำนองเดียวกันกับผลโพลล์ลับของหน่วยงานที่มีหน้าที่ในเรื่องนี้ และเป็นผลใกล้เคียงกันกับผลโพลล์ที่กระทำโดยหน่วยงานรับทำโพลล์ต่างประเทศ ซึ่งหลายพรรคก็จ้างทำโพลล์เฉพาะ โดยอาศัยความชำนาญของชาวต่างชาติ
ส่วนพรรคอนาคตใหม่นั้น ถึงวันนี้คงจะดูแคลนไม่ได้แล้ว เพราะการที่ผลโพลล์หลายโพลล์ปรากฏว่าพรรคอนาคตใหม่ได้รับความนิยมขึ้นมาลำดับที่สองนั้นเป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายของคน
ทั้งหลาย แต่ก็พอที่จะสรุปสาเหตุความเป็นไปได้ดังต่อไปนี้
ประการแรก พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่โดยแท้ ทั้งคณะกรรมการบริหารและผู้ปฏิบัติงานเกือบทั้งหมดล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยมีราคีคาวทางการเมืองใดๆ มาก่อน ยกเว้นหัวหน้าพรรคซึ่งเคยร่วมกิจกรรมกับคนเสื้อแดง และทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากมาสนับสนุนด้วย
ประการที่สอง เบื้องลึกของพรรคอนาคตใหม่นั้นมีผู้ปรีชาสามารถทางการเมืองและมีประสบการณ์สูงระดับเจี้ยงเล่าอยู่เป็นจำนวนมาก คนเหล่านั้นมีประสบการณ์ทางการเมืองทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างโชกโชน ใครที่มองเห็นความนัยข้อนี้ก็จะรู้ว่าคณะยุทธศาสตร์ หรือคณะเสนาธิการของพรรคอนาคตใหม่นั้น ประกอบด้วย ยอดคนจำนวนมาก จึงสามารถใช้กลอุบายทางการเมืองและทำให้เกิดกระแสพรรคขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังเช่นการเปิดประเด็นเรื่องคนไทยยิ้ม ซึ่งสื่อจำนวนหนึ่งพากันหยิบมาวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้ทัศนะของคนเก่าคนแก่ ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับทัศนะของคนหนุ่มสาวหรือคน Gen Y, Gen Z ดังนั้นยิ่งวิพากษ์วิจารณ์จึงเท่ากับยิ่งโฆษณาให้กับพรรคอนาคตใหม่
ประการที่สาม พรรคอนาคตใหม่จะผิดจะถูกประการใดก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน แต่ที่ตรงใจของคนทั่วไปก็คือพูดจาท่าทีชัดเจน ไม่กั๊ก ไม่โมเม ไม่เคลือบคลุมหรือกะล่อนแบบผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองแบบเส็งเคร็ง
อย่าลืมว่าคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Y, Gen Z หรือนัยหนึ่งก็คือเยาวชนที่มีอายุ 18-25 ปีนั้น มีจำนวนถึง 7 ล้านคน อยู่ในเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่ก้าวหน้าทันสมัยและมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า ดังนั้นจึงทำให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ถือเอาพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคของพวกเขา
ส่วนพรรคภูมิใจไทยนั้น ขณะนี้เปิดฉากใช้ประเด็นกัญชาเสรีเป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เลือกตั้ง พุ่งเป้าหมายไปที่เครือข่ายผู้ป่วยมะเร็งและญาติพี่น้องร่วมสิบล้านคนทั่วประเทศ และประสานกับเครือข่ายเกษตรกรอีก 30 ล้านคนทั่วประเทศ โดยให้คำมั่นสัญญาที่จะให้ปลูกกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ พลิกฟื้นฐานะของพี่น้องชาวนาชาวไร่ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จนเป็นประเด็นหลักในการเคลื่อนไหวของพรรค หากกระแสนี้โหมกระหน่ำถึงขั้นหนึ่งแล้วก็อาจจะทำให้การเมืองพลิกผันชนิดถล่มทลายก็ได้
ในเรื่องการเมืองนั้น อะไรๆ มันก็บ่แน่ดอกนาย!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี