ดูเหมือนกำลังเดินเกมสองด้าน ด้านหนึ่งเปิดเกมหาเสียงแบบรุกสุดตัวหวังกลับมาเป็นรัฐบาลอีก อีกด้านก็เร่งทำงานในฐานะรัฐบาล และสนช.แบบทิ้งทวนกวาดบ้านแบบหมดจด? ล่าสุดก็มีข่าวว่าสนช. กำลังผ่านร่างกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น พร้อมเลือกตั้งหลัง สส. 60 วัน รวมถึงกฎหมายข้าว ในขณะที่รัฐบาล ล่าสุดรองนายกเศรษฐกิจสั่งเดินเครื่องโครงการรัฐเต็มที่ ลั่นว่าต้องเสร็จทุกดีลภายในสิ้นเดือนนี้จริงหรือไม่?
ขณะที่สี่ รมต.ลาออกไปลงการเมืองเต็มตัวแต่อีกคนสำคัญมือหลักกระเป๋าเงินรัฐบาลยังคงเร่งบริหารงบสำคัญ โดยเฉพาะโครงการ EEC ที่แม้ก่อนหน้านี้จะมีความพยายามกำหนดแผนเร่งให้เสร็จภายในเดือนนี้ แต่ก็มีเหตุให้รัฐมนตรีที่มีอำนาจต้องออกมาก่อนเวลา ผู้กำกับที่แท้จริง
จึงต้องลงมาเล่นเอง ในกระบวนการสำคัญที่ยังไม่แล้วเสร็จของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างหรือกระบวนการลงนามในสัญญาของโครงการ EEC ที่ล่าสุดหัวเรือฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลระดับรองนายกฯได้มีการเร่งรัดในเรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยให้การเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้มากว่าเป็นกลุ่มทุนสำคัญอุปโภคบริโภคที่ได้โปรเจกท์นี้ไป ด้วยการยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐน้อยกว่าคู่แข่งอื่น อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเงื่อนไขที่ต้องเจรจาต่อไป แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ ในโครงงานระดับประเทศแบบนี้ การเร่งรัดให้ได้ข้อสรุปภายในเร็ววัน ก่อนการเลือกตั้งดูจะไม่เป็นเหตุเป็นผลเท่าไร
นอกจากนั้นยังถูกตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ของรัฐบาลชุดนี้กับกลุ่มนายทุนว่าเป็นเช่นไร เพราะด้วยโครงสร้างระดับประเทศเช่นนี้ การเข้ามาของกลุ่มทุนอุปโภคบริโภคที่ยังไม่มีประสบการณ์ในวงการก่อสร้างและไม่เคยทำระบบรางมาก่อน แม้จะบอกว่าร่วมกับอีกหลายกลุ่มก็ตามก็ยังน่าเป็นห่วงไม่น้อย แต่ต้องยอมรับว่าการทำรถไฟความเร็วสูงนั้น หัวใจหลักคือการช่วยให้พื้นที่รอบๆนั้นพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะรถไฟความเร็วสูงไม่ใช่แค่ช่วยให้การคมนาคมของประเทศดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของ GDP การเกษตร การท่องเที่ยว โอกาสทางการศึกษา และยังต่อยอดไปถึงเทคโนโลยี 4.0 ของประเทศได้อีก ซึ่งเป็นเรื่องประชาชนรอมานาน เหตุใดจึงจะมาเร่งให้จบภายในเดือนเดียว แต่ควรจะให้เวลา และรอการเลือกตั้งเกิดขึ้นเพื่อที่จะให้ประชาชนได้มีสิทธิเข้ามาตรวจสอบและร่วมวางแผนจะไม่ดีกว่าหรือ?
การเร่งบริหารอีกเรื่องไปปรากฏในรัฐวิสาหกิจสำคัญ ด้วยการจัดซื้อเครื่องบินใหม่ของการบินไทยทั้ง 38 ลำ ในวงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท ก็ดูจะเป็นตัวเลขที่ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะเป็นตัวเลขที่สูงมาก และจำนวนมากในลอตเดียว ที่สำคัญอาจถูกวิจารณ์ว่าดูสวนทางกับผลประกอบการของบริษัท ที่สามไตรมาสที่ผ่านมา การบินไทยขาดทุนไปแล้วถึง 4,082 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมภาระหนี้สินอีกมากกว่า 249,219 ล้านบาท แต่ล่าสุดกลับปรากฏว่ารองฯคนสำคัญได้เผยหลังจากประชุมความคืบหน้าของกระทรวงว่า ได้เร่งรัดให้การบินไทยสรุปแผนจัดซื้อเครื่องบิน ให้ชัดเจนภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ กุมภาพันธ์อีกแล้ว ดังนั้น คำถามสำคัญคือ เหตุใดจึงลอตใหญ่ขนาดนี้?เหตุใดจึงต้องกุมภาพันธ์ ?
นอกจากซีกบริหารแล้ว ดูเหมือน สนช.ก็จะดูเร่งงานในช่วงสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งด้วยความบังเอิญอีกเช่นกัน หลัง สนช. เพิ่งผ่านร่างกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นแล้ว โดยขีดเส้นวันเลือกตั้งท้องถิ่นหลังการเลือกตั้ง สส.เพียง 60 วัน เท่ากับ นายก อปท. ทั่วประเทศ จะหมดวาระในวันที่ 31 มี.ค. นี้ ซึ่งก็ดูจะมีน้ำหนักไม่น้อย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ สนช. ก็พึ่งเห็นชอบในร่างพ.ร.บ. ที่มีความเกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.สภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล, ร่างพ.ร.บ.เทศบาล และ ร่าง พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยทั้งสามร่างมีสาระสำคัญคล้ายกันคือ การกำหนดให้ผู้บริหารองค์กรเหล่านี้มาจากการเลือกตั้ง โดยมีวาระการทำงาน 4 ปี และติดต่อกันไม่เกิน 2 วาระ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลและน่าตั้งคำถามเห็นจะเป็นเรื่องความกระชั้นชิด ที่ว่าเหตุใดจึงถึงรีบให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยเร็วเช่นนี้? เพราะหากมองจากกรอบเวลา 60 วัน หลังเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ก็เป็นเวลาที่น้อยมากสำหรับทั้งพรรคการเมืองและผู้สมัครในการหาเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น แถมน่าจะยังเป็นช่วงที่กกต. กำลังวุ่นวายกับการนับคะแนนทั่วประเทศอยู่ด้วย
ขณะที่มีกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งมีความพยายามจะนำเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว แต่โดนต่อต้านจากหลายฝ่ายจึงได้มีการชะลอไว้ แต่ตอนนี้ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังวุ่นกับการเลือกตั้งจู่ๆ ก็มีการพยายามดันกฎหมายฉบับนี้อย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับนิดหน่อยที่ดูเหมือนถอยแต่จริงๆ ไม่ นั่นคือ ร่างพ.ร.บ. ข้าว ที่ล่าสุดพึ่งผ่านวาระ 1 แล้ว และกำลังเข้าสู่วาระ 2 และ 3 ตอนนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า ร่างแก้ไขใหม่เวอร์ชั่นสองนี้ช่วยเหลือชีวิตชาวนาจริงหรือเพียงแค่บิดประเด็นและพยายามจะเร่งผ่านให้ได้?
ก่อนหน้านี้มีประเด็นสำคัญในมาตรา 26 เรื่องการค้าเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การให้จำหน่ายได้เฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการรับรองโดยกรมการข้าวเท่านั้น ส่วนการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับการรับรองสามารถจำหน่ายให้ผู้รวบรวมพันธุ์ข้าวเท่านั้น และก็ไม่สามารถนำไปขายต่ออีกทอดได้ โดยหากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งเรื่องนี้หลายคนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ในที่สุดแล้ว ชาวนาจะกลายเป็นได้ประโยชน์ได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้มีสัญญาณว่าสนช. อาจจะยอมถอยหลังถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามท้ายสุดกลับดูจะกลายเป็นว่ายิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีกหรือไม่? ล่าสุดแม้กมธ. จะได้ตัดมาตรา 26 ออกไป แต่กลับมีการเพิ่มมาตรา 27/1 ขึ้นมาแทน ซึ่งสาระสำคัญเรียกได้ว่าไม่ต่างกันนัก ยังคงเป็นการให้อำนาจหน้าที่กับภาครัฐในการตรวจสอบและรับรองพันธุ์ข้าว ซึ่งอาจจะมีผลให้พันธุ์ข้าวที่ได้รับการรับรองเท่านั้นที่จะสามารถผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อจำหน่ายต่อไปได้ ซ้ำยังมีวรรคที่ว่าด้วยอำนาจในการประกาศห้ามจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ในกรณีที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งเท่ากับว่าภาครัฐก็ยังคงมีอำนาจในกำหนดเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรได้หรือไม่? เพราะถึงแม้เกษตรกรจะสามารถผลิตพันธุ์ข้าวไว้ใช้เองได้ แต่กระบวนการรับรองจากภาครัฐจะทำให้เกิดเงื่อนไขที่บังคับให้เกษตรกรต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการรับรองทันที
โดยต่อไปหากมีโครงการของรัฐก็จะเป็นเหตุให้มีแต่เมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการรับรองเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้โรงสีกำหนดเงื่อนไขในด้านเมล็ดพันธุ์กับเกษตรกรเพื่อให้ตนเข้าร่วมในโครงการของรัฐได้อยู่ดี ดังนั้น ในแง่ของผลที่ตามมาก็น่าตั้งคำถามว่า ชาวนาจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากกฎหมายเช่นนี้? ผู้ที่ได้ประโยชน์อาจเป็นนายทุนผู้ถือครองเมล็ดพันธุ์ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่หรือไม่? นอกจากนี้แล้ว ในความเป็นจริงก็ยังมีสาระสำคัญในมาตราอื่นๆ จากนี้ที่อาจจะหนักหน่วงต่อเกษตรกรไม่แพ้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงคิดว่าร่างพ.ร.บ. ข้าวที่กำลังจะนำมาบังคับใช้นี้ นอกจากจะไม่ส่งเสริมชีวิตเกษตรกรชาวนาให้เกิดความมั่นคงแล้ว ยังดูจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนและข้าราชการให้มีอำนาจมากขึ้นอีกด้วยหรือไม่? จึงมีหลายฝ่ายเรียกร้องให้เลื่อนการพิจารณาโดยสภาออกไปก่อน เพื่อรอให้มีการพิจารณาโดยรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่อย่างน้อยน่าจะเป็นหลักประกันว่ากฎหมายจะผ่านการเห็นชอบโดยผู้แทนที่มาจากการเลือกโดยประชาชนจริงๆ ดังนั้นแล้ว หากสนช. ยังคงเดินหน้าต่อไปแบบนี้ก็น่าจะเสี่ยงไม่น้อยต่อการเผชิญแรงกดดันในระลอกใหม่หรือไม่?
ทั้งกรณีการเร่งเดินเครื่องโครงการต่างๆ รวมไปถึงการออกกฎหมายต่างๆ ที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตประชาชนนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะสร้างผลกระทบระยะยาวแก่คนจำนวนมากในสังคม ตลอดจนระบบเศรษฐกิจ รวมถึงยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล หลายคนจึงเห็นว่า ควรเป็นหน้าที่ของสภาหลังการเลือกตั้งที่จะมารับช่วงต่อหลังจากนี้มากกว่า ดังนั้น คำถามที่ตามมาจึงเป็นเรื่องที่ว่า เหตุใดรัฐบาลชุดนี้รวมถึงสนช. จึงไม่ดำเนินการก่อนหน้านี้ รวมทั้งเกี่ยวพันหรือไม่อย่างไรกับเรื่องที่รัฐบาลกำลังจะหมดอำนาจลงในเวลาอีกไม่นานนี้? เพราะแม้จะบอกว่าไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ แต่ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ากำลังจะมีการเลือกตั้ง และนโยบายของรัฐบาลหน้าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป
“…ทุกประการท่านล้วนสามารถครุ่นคิด หลังจากได้คิดค่อยลงมือกระทำ…”
โกวเล้ง จากเรื่องทวนทมิฬ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี