สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส คือแหล่งเงินทองอันแสนอุดมสมบูรณ์ เพราะเป็นหน่วยงานด้านการสื่อสารมวลชนเพียงแห่งเดียวของไทยที่มีเงินไหลเข้าองค์กรปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาท โดยที่ผู้บริหารองค์กรไม่ต้องดิ้นรนหารายได้เข้าหน่วยงานเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผิดจากองค์กรด้านการสื่อสารมวลชนทุกแห่งในประเทศไทย เพราะองค์กรสื่อฯ ทุกแห่งต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ด้วยลำแข้งของตนเอง และยังต้องทำงานด้วยความยากลำบาก เพื่อให้องค์กรสามารถดำรงอยู่ได้ต่อไปท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่แสนฝืดเคืองเช่นทุกวันนี้
การเป็นผู้บริหารระดับสูงในไทยพีบีเอสนั้น มีผู้เปรียบเสมือนการตกบ่อน้ำมัน หรือตกถังข้าวสาร เพราะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานนี้มีเงินเดือนที่สูงมาก ซึ่งหากจะเทียบเงินเดือนและค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสกับหน่วยงานด้านการสื่อสารมวลชนอื่นๆ ในประเทศไทยแล้ว ต้องยอมรับว่าเงินเดือนของผู้บริหารไทยพีบีเอสเฟ้อมากจนน่าตกใจ ดังนั้นผู้คนในวงการสื่อฯ ที่เขาต้องหาเงินเพื่อดำเนินกิจการด้วยความสามารถของตนเองจึงตั้งคำถามว่า ทำไมผู้บริหารไทยพีบีเอสจึงมีเงินเดือนสูงลิบลิ่วเช่นนั้น เงินเดือนและค่าตอบแทนโดยรวมของผู้บริหารระดับสูงในไทยพีบีเอสคือหลักแสน
ไม่ต้องดูอะไรมาก แค่ดูจากเงินพิเศษซึ่งผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสที่เคยรับกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึงปี พ.ศ. 2555 โดยเฉพาะค่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง (car allowance) ที่ต้องจ่ายให้กับประธานกรรมการนโยบาย กรรมการนโยบาย และกรรมการบริหารอื่นๆ ของไทยพีบีเอส ตกเดือนละ 27,000 บาท ซึ่งมีการระบุในองค์กรว่าประธานกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ส่วนตำแหน่งกรรมการนโยบายและกรรมการบริหารอื่นๆ ของไทยพีบีเอสอยู่ในระดับเดียวกันกับอธิบดีหรือเทียบเท่า
เมื่อคนในวงการสื่อฯ เห็นการเทียบตำแหน่งดังระบุข้างต้นแล้ว ต่างก็หัวเราะด้วยความสังเวช แล้วก็ตั้งคำถามพร้อมกันว่าผู้บริหารของไทยพีบีเอสมีศักยภาพสูงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ย้ำว่ามีศักยภาพสูงถึงเพียงนั้นจริงหรือ
นอกจากเงินค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเดือนละ 27,000 บาทแล้ว ยังมีเงินพิเศษสำหรับค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกรายละ 3,000 บาทต่อเดือนอีกด้วย สรุปแล้วผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสได้รับเงินกินเปล่าไปเดือนละ 3 หมื่นบาท
เรื่องเงินกินเปล่านี้เกิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 โดยคณะกรรมการนโยบายชุดแรกของไทยพีบีเอส มีจำนวน 9 คน ได้ประชุมร่วมกันเมื่อเดือนกันยายน 2551 แล้วอนุมัติให้จ่ายเงินค่ารถยนต์ 27,000 บาทต่อเดือน และค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3,000 บาทต่อเดือน โดยให้มีผลการจ่ายเงินย้อนหลังไปถึงเดือนสิงหาคม 2551
อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินที่บุคคลภายนอกไทยพีบีเอสเห็นว่าเป็นลาภมิควรได้นี้ได้ถูกระงับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 และต่อมาหลังจากนั้นอีก 4 ปี คือในปี 2559 ได้มีความพยายามจะทวงเงินคืนจากผู้ที่ได้รับลาภมิควรได้ก้อนนั้นไป แต่จนถึงทุกวันนี้การทวงเงินดังกล่าวก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีผู้ที่มีความละอายบางรายคืนเงินดังกล่าวให้กับไทยพีบีเอสจนครบถ้วนแล้วก็ตาม ส่วนบางรายก็ผ่อนชำระคืน แต่ก็ยังมีอีกหลายรายที่ไม่ยอมคืนเงิน
เรื่องการอนุมัติลาภมิควรได้ในไทยพีบีเอสนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง และสอบสวนทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาคนกระทำผิดไม่ได้ ทั้งๆ ที่การจ่ายเงินดังกล่าวนั้นถูกระบุโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่าจ่ายไปโดยมิชอบ และจำเป็นต้องหาผู้รับผิดชอบมาให้ได้ โดยสั่งให้ระงับการเบิกจ่ายไว้ก่อน
นอกจากนั้น สตง. ยังขอให้ผู้ตรวจสอบภายในของไทยพีบีเอสตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด และให้เรียกเงินคืน พร้อมทั้งให้แจ้งผลการทำงานเรื่องนี้ให้ สตง. รับทราบ แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการแจ้งเรื่องให้ทาง สตง. รับทราบแต่ประการใด
เรื่องนี้ยังคงคาราคาซังอยู่ในไทยพีบีเอสเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีผู้บริหารระดับสูงคนใดขององค์กรสามารถเรียกเงินทั้งหมดกลับคืนให้กับองค์กรได้ แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าก็คือ ผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสยุคปัจจุบันกลับตั้งกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่เสมือนผู้แก้ต่างเรื่องนี้ แล้วกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายก็ลงความเห็นว่าการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ โดยอ้างว่าประธานกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสมีสิทธิในระดับเดียวกับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ส่วนกรรมการนโยบาย และกรรมการอื่นๆ ของไทยพีบีเอสมีสิทธิในระดับเดียวกับอธิบดีหรือเทียบเท่า แล้วกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันของไทยพีบีเอสตั้งขึ้นมาก็สรุปแบบฟันธงว่าการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นเรื่องที่ชอบแล้ว
เมื่อผลออกมาเป็นเช่นที่ว่านั้น จึงทำให้มีคำถามว่ากรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่ผู้บริหารไทยพีบีเอสชุดปัจจุบันตั้งขึ้นนั้นมีอำนาจหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายในเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่ สตง. ระบุว่าเป็นการจ่ายเงินโดยมิชอบ และคัดค้านเรื่องนี้มาโดยตลอด นั่นแสดงว่ากรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายชุดนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่า สตง. ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นความเห็นของ สตง. จะมีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปหรือไม่ แล้วหน่วยงานอื่นๆ ที่ สตง. ให้ความเห็นว่ากระทำการโดยไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องจะต้องทำตามความเห็นของ สตง. อีกต่อไปหรือไม่ หรือว่าหน่วยงานนั้นจะต้องตั้งกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายขึ้นมาเพื่อหักล้างความเห็นของ สตง. เหมือนกับที่ผู้บริหารไทยพีบีเอสชุดปัจจุบันได้กระทำไปแล้วบ้าง
สำหรับผู้ที่ได้รับลาภมิควรได้จากไทยพีบีเอสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2555 มี 19 คน ซึ่งบางคนเป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย บางคนเคยเป็นรัฐมนตรี บางคนเคยเป็นคณบดี บางคนเป็นทนายความ บางคนเป็นผู้สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย บางคนบอกว่าตัวเองเป็นนักวิชาการอิสระ บางคนก็บอกว่าตนเองเป็น NGOs บางคนเป็นนักธุรกิจระดับชาติ แต่บางคนก็คืนเงินให้ไทยพีบีเอสครบถ้วนแล้ว บางคนผ่อนชำระใช้ แต่ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่ไม่ยอมคืนเงิน
บทความนี้จะไม่ระบุชื่อผู้รับเงินทั้ง 19 คน ซึ่งหลายคนวิจารณ์ว่าเป็นลาภมิควรได้ก้อนนี้ไป แต่จะชี้ให้เห็นว่ามีผู้ได้รับเงินไปสูงสุดคือคนละ 1,259,032.26 บาท จำนวน 6 คน ได้รับเงินไปคนละ 839,032.26 บาท จำนวน 2 คน ได้รับเงินไปคนละ 809,032.26 บาท จำนวน 1 คน ได้รับเงินไปจำนวนคนละ 750,000 บาท จำนวน 4 คน ได้รับเงินไปคนละ 420,000 บาท จำนวน 3 คน ได้รับเงินไปจำนวน 330,000 บาท จำนวน 2 คน และได้รับเงินไป 240,000 บาทจำนวน 1 คน
อันที่จริงแล้ว ผู้ได้รับตำแหน่งประธานกรรมการนโยบาย และกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสก็ได้รับเงินเดือนและสวัสดิการอื่นๆ ตอบแทน โดยคิดเป็นมูลค่าทางการเงินที่สูงมากอยู่แล้ว เพราะค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสนั้นอยู่ที่หลักแสน แต่ที่สำคัญคือคนเหล่านี้ยังได้รับเบี้ยประชุมอีกต่างหาก จึงมีคำถามจากทั้งคนในไทยพีบีเอสและคนนอกไทยพีบีเอสที่ติดตามเรื่องนี้ว่า สมควรที่จะต้องได้รับเงินค่ารถยนต์พิเศษอีกเดือนละ 27,000 บาทหรือ แล้วในหนึ่งเดือนคนเหล่านี้เข้าไปทำงานในไทยพีบีเอสทุกวันทำงานจริงหรือ ส่วนค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกเดือนละ 3,000 บาทนั้น คนเหล่านี้ใช้เพื่อกิจการของไทยพีบีเอสแท้จริงหรือ
มีคนในไทยพีบีเอสหลายคนยืนยันตรงกันว่า เห็นว่าคนที่ได้รับเงินพิเศษนี้ยังใช้รถยนต์ขององค์กรเวลาไปไหนมาไหนอยู่เสมอๆ ถ้าเช่นนั้นการรับเงินพิเศษแล้วยังใช้รถยนต์ขององค์กรด้วย ถือได้ว่าเป็นการจงใจทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่
เรื่องน่าละอายแบบนี้ ผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสควรจะต้องช่วยกันกำจัดให้หมดสิ้นไป และควรจะต้องเรียกเงินที่ไม่ควรเสียนี้กลับคืนให้กับไทยพีบีเอส มิใช่ตั้งกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายขึ้นมาเพื่อบอกว่าการใช้เงินที่ สตง. ลงความเห็นว่าใช้โดยมิชอบ เป็นเรื่องที่ไทยพีบีเอสสามารถกระทำได้
วิญญูชนที่ทราบเรื่องนี้ต่างวิพากษ์ตรงกันว่า เรื่องแบบนี้คือความเสื่อมขององค์กร แล้วถ้ายิ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชนที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบหน่วยงานอื่นๆ ของสังคมด้วยแล้ว แต่กลับปรากฏว่าตนเองได้กระทำการอันน่าจะเข้าข่ายหมองมัวเสียเอง แล้วจะยังมีหน้าไปตรวจสอบ หรือรายงานความไม่ซื่อสัตย์สุจริตขององค์กรอื่นๆ อีกกระนั้นหรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี