ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลพวงของการไล่ให้ไปฟังเพลง “หนักแผ่นดิน” ของท่าน ผบ.ทบ. ทำให้นักการเมืองบางกลุ่มและกองเชียร์ “ได้ที” ออกมาถล่มทหารและการรัฐประหารเสียเละเทะ พร้อมๆ กับดันแคมเปญ “24 มีนา จับปากกาฆ่าเผด็จการ” เรียกคะแนนนิยมจากประชาชนเสียอีก
ท่ามกลางความพยายาม “หาดี-หาเสียง” ของพรรคการเมืองบางพวก ด้วยการแบ่งฝ่าย ทหาร-ไม่ทหาร รัฐประหาร-ประชาธิปไตย เราประชาชนคนไทยได้ตั้งสติคิดอะไรบ้างไหม หรือคล้อยตามการเป่าหู สะกดจิต ว่าทหาร กองทัพ และการรัฐประหารเป็น “ความชั่วร้ายเดียว” ที่ต้องขจัด!!
1) คน-จะชั่วหรือดีไม่ได้อยู่ที่ว่าเขา “เป็นอะไร” แต่อยู่ที่ “เขาทำอะไร” ดังนั้น ทหารดีก็มี ทหารชั่วก็มี นักการเมืองดีก็มี นักการเมืองชั่วก็มี พรรคการเมืองก็เลวได้ กองทัพก็ดีได้ และชั่วได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การหาเสียงด้วยการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยุยงให้คนในชาติแตกแยกกัน ด้วยการทำให้ “ทหารเป็นศัตรูของประชาธิปไตย” ผมว่ามันเกินไป!!
2) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 นายจิรายุส วรรธนะสิน หรือ โจ นูโว นักร้องชื่อดัง โพสต์อินสตาแกรม “joejirayut” พร้อมกับรูปภาพ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า
“คนดี คนเลว มีอยู่ในทุกกลุ่มชน แม้นในตัวคุณเองก็มีทั้งความดี ความเลวในตัว มากน้อยอยู่ที่แต่ละบุคคล ตอนนี้ดูเหมือนแทบทุกคนกำลังเมามันกับการเมือง รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง เออ ออ ตามกันบ้าง ฟังเขากรอกหูบ้าง ใครชอบใคร ก็จะเข้าข้างคนนั้นๆ แต่ลืมมองอดีตว่า มันเกิดอะไรขึ้นก่อนมีรัฐประหาร
...ทำไมต้องทำรัฐประหาร อย่ามองแต่ตอนนี้ ว่าอยากได้อะไร คนบางกลุ่มไม่ชอบทหาร พยายามจะโยงเรื่องเก่า และยุให้ประชาชนทะเลาะกับทหาร โดยเฉพาะพวกนักการเมืองที่เก็บกด เคียดแค้น กี่ครั้งที่นักการเมืองรอดตายมาเพราะทหารเข้าไปช่วยกี่ครั้งที่ประเทศเรารอดมาได้เพราะมีทหาร(ดี) ผมไม่ได้เข้าข้างทหาร เพราะย่อมมีทั้งทหารเลว และทหารดี
...ครอบครัวผม ก็ไม่ใช่ครอบครัวทหาร แต่มองด้วยสิ่งที่เห็น ที่รู้ ที่ผ่านมาในชีวิตๆ นึง ผมว่าไม่มีใครดีไปทุกอย่างหรอก แต่เราต้องดูว่าคนที่เราจะเลือก เป็นคนดีไหม อย่างน้อยก็ เลวน้อยที่สุด และจะเข้ามาทำให้ประเทศไทย เดินไปข้างหน้าได้มากที่สุด ให้มีคนเลวเข้าไปในสภาให้น้อยที่สุด ไม่ได้เขียนมาเรียกร้องอะไร แต่ชักเบื่อวิธีการหาเสียงแบบให้เกิดการทะเลาะกัน เบื่อไอ้พวกออกมาอวยคนเลวที่ตัวคิดว่าดี และพยายามให้คนไทยแตกกัน เกลียดกันอีก แล้วอ้างประชาธิปไตย
...อยากรู้จังว่า เรารู้จักประชาธิปไตยกันจริงหรือเปล่า ถ้าคุณคิดว่า คุณเป็นนักประชาธิปไตยจริง คุณก็ไม่ต้องมาทำเป็นไม่พอใจในสิ่งที่ผมเขียน เพราะผมก็น่าจะมีสิทธิ์เขียนในสิ่งที่ผมอยากเขียน จริงไหม?! แยกแยะให้ดี ถ้าอ่านแล้วรู้สึกไม่ชอบ ก็ลบผมได้เลย ไม่โกรธกัน”
3) ในเวลาเดียวกันนั้นเอง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์เชียนเฟซบุ๊คเรื่อง “ทหารกับนักการเมือง” ระบุว่า...
“...ตราบใดที่นักการเมืองยังทะเลาะกัน ก็หนีทหารไม่พ้น
...นี่แค่ปล่อยให้หาเสียงก็เริ่มตีกันเสียแล้ว เข้าสภาไป เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก เมื่อโจทย์ไม่ได้แก้ คำตอบก็ยังเหมือนเดิม รัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะเราไม่รู้จักจำ
...สังคมแบบไทยๆ ทหาร คือ ดุลอำนาจของนักการเมือง หากนักการเมืองใช้อำนาจเกินเมื่อไหร่ เท่ากับเปิดประตูค่ายให้ทหารออกมา
...อย่ายั่ว อย่าหาเรื่อง อย่าทะเลาะ อย่านิรโทษกรรมสุดซอย อย่าประท้วงข้างถนน อย่าปิดสถานที่ราชการ อย่ากวักมือเรียกทหาร
...หาก 5 ปีที่แล้ว นักการเมืองพรรคเพื่อไทยไม่ใช้อำนาจในสภามากจนเกินที่สังคมจะรับได้ และพรรคประชาธิปัตย์ไม่เลือกใช้หนทางนอกสภาแก้ปัญหาผ่านร่างทรงสุเทพ อีกทั้งพรรคขนาดกลางไม่นิ่งเฉยรอเข้าข้างคนชนะ ไฉนเลยทหารจะออกมาได้?
...คนไทยต้องไม่ลืม ว่าใครทำอะไรไว้ อย่าถามว่าจะมีรัฐประหารอีกไหม? แต่จงถามว่าจะทำเหมือนที่ผ่านมาอีกหรือเปล่า?
...เมื่อไหร่ที่นักการเมืองทำเพื่อประชาชน ทหารทำเพื่อปกป้องประเทศชาติ ก็ทางใครทางมัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ ต่างคนต่างเดิน
...ส่วนคนที่ว่าผมเข้าข้างทหาร คงเข้าใจผิด ผมชื่อชูวิทย์ ไม่ได้ชื่อสุเทพ วันที่ผมติดคุก 3 รอบ ถูกขังเดี่ยว 3 วัน ที่กรมสารวัตรทหาร ถูกอายัดทรัพย์ ลูกชายจับใบแดงไปเป็นทหารเกณฑ์ และอีกหลายอย่าง หากผมมี พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ หนุนอยู่ข้างหลังจริง ทำไมถึงโดนได้ขนาดนี้?
...ผมแบ่งแยกความเป็นเพื่อนกับหน้าที่ออก ทำอะไรผิด ก็รับผิดในสิ่งที่ทำ ไม่ต้องไปร้องขอให้เพื่อนลำบากใจ ที่บอกว่าผม กับ ผบ.ทบ. ท่านนี้ รู้จักสนิทสนม ผมก็เคยยืนยันว่ารู้จักกันจริง แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่มีขอกันเรื่องอื่น”
4) ประเด็นเรื่องดี-เลว จึงไม่อาจเหมาะรวมยกให้ฝ่ายใดดีหมด และอีกฝ่ายเลวหมด แต่ประชาชนต้องจำแนกแยกแยะเป็นคนคนไป หรือดูการกระทำเป็นครั้งๆ ไป ดังนั้น การที่ฝ่ายการเมืองรุมด่าทหารว่าทำรัฐประหารแล้วถือว่าเป็นฝ่ายเลว ก็นับว่า“มากไป” และ “มั่วไป”
5) เราควรเรียกร้องให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ วิพากษ์วิจารณ์การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ว่าเป็นไปตามหลักประชาธิปไตยหรือไม่ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า สองคนนี้จะคิดอย่างไร กับการที่ “เสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง” ในสภาผู้แทนราษฎร ในสภาเป็นที่ผลิตกฎหมายที่ปล่อยให้ฆาตกร คนฆ่า คนเผา คนสั่งการให้เกิดการก่อการร้ายขึ้นในแผ่นดิน ไม่ต้องรับโทษ นิรโทษกรรมไปเลยในขณะที่ประชาชนที่ถูกฆ่า ที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป อาทิ คุณณิชา หิรัญบุรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้าธุวธรรม ควรถูกทำลายสิทธิในการได้รับความเป็นธรรม ที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ใครฆ่าสามีของเธอ และกระบวนการยุติธรรมจะพิจารณาลงโทษคนฆ่านั้นตามกระบวนการที่มีหรือไม่ หรือดีแล้ว ที่กฎหมายดังกล่าวสั่งให้ยุติการค้นหาความจริง และหากคดีใดเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว ก็ให้ยุติ นั่นคนนะครับ เช่นเดียวกับพ่อน้องเฌอ นางพะเยาว์ อัคฮาด และคนอื่นๆ ที่ก็ควรได้รู้ว่าใครฆ่าลูกของพวกเขา และพวกมันสมควรต้องรับโทษทัณฑ์สถานใดไม่ใช่ปล่อยให้ตายไปเหมือนหมาจรจัด ที่ไร้ค่า
6) ยอมรับกันเสียทีได้ไหม ว่าการใช้อำนาจของเสียงข้างมากในกระบวนการประชาธิปไตย ออกกฎหมายที่เลวทรามฉบับนั้นเอง คือ การสิ้นสุดความชอบธรรมของฝ่าประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่มีไว้ให้คนตายเหมือนหมา คือประชาธิปไตยที่ภาคภูมิใจและใฝ่หา เพรียกหา สร้างคุณค่าขึ้นข่มฝ่ายอื่น อย่างเช่นที่ทำอยู่ตอนนี้ แล้วเลี่ยงที่จะพูดถึงความชั่วร้ายนี้ ที่พรรคเพื่อไทย ในสมัยนายกฯหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทำ ช่างขี้ขลาดและขี้ฉ้อกันสิ้นดี
7) เมื่อสภาเป็นที่ผลิตกฎหมายชั่วร้าย แล้วอำนาจในสภาไม่อาจหยุดกฎหมายชั่วนี้ การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญชุมนุมบนท้องถนนจึงเกิดขึ้น เปิดใจกว้างๆ และเทียบกับการชุมนุมของ นปช. ทั้งในปี 2552 และ 2553 ที่นายธนาธรได้เข้าร่วมด้วย ครั้งนั้นมีเหตุอะไรที่ “ชอบธรรม” พอที่จะชุมนุมหรือ และการชุมนุมยังเป็น “ประชาธิปไตยอยู่ไหม” ธนาธร ตอบซิ
8) การชุมนุมที่เลยเถิดถึงขั้นลากรถแก๊สมาขู่จะระเบิดหน้าแฟลตดินแดง การเผารถเมล์และยิงลูกชาวบ้านย่านนางเลิ้ง ในปี 2552 ของ นปช. และการทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา ตามมาด้วยการเผาห้างเซ็นเตอร์วัน เผาสยาม เผาศาลากลางหลายแห่ง นั่นก็ยังเป็นประชาธิปไตย อยู่หรือไม่ ในเวลานั้น สภามีความผิดอะไร ทำไมไม่ใช้กลไกสภาตามระบอบประชาธิปไตยเข้าแก้ไขปัญหาล่ะ แล้วปีนั้น ทำไมกองทัพไม่ “รัฐประหาร”
9) พอตัวเองหรือสมัครพรรคพวกของตัวเอง ไม่ได้รับการโหวตในสภา ก็ไปโทษเขาว่า “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” ขี้แพ้ชวนตี พอตัวเองหรือสมัครพรรคพวกที่นิยมชมชอบกัน กระทำการที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ควรทำ เป็นเผด็จการรัฐสภา เอาเสียงข้างมากไปหาประโยชน์ ออกกฎหมายให้ผู้บริสุทธิ์ตาย นิรโทกรรมให้คนฆ่า และยัดไส้นิรโทษกรรมให้คนโกงเข้าไปด้วย กลับทำเป็นลืม ไม่พูดถึง อ้อมๆ แอ้มๆ เลี่ยงราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น ตัดตอนพูดเฉพาะการชุมนุมของ กปปส. และตีตราว่าเป็นการเรียกทหารออกมารัฐประหารเสียอย่างนั้น
10) หากไม่มีอคติ ก็จะเห็นว่า การชุมนุมยืดเยื้อจนเกือบปี มีอาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุม โดยที่รัฐบาลปกป้องไม่ได้ แถมไม่มีท่าทีปกป้องด้วยซ้ำ ทำทีเป็นยุบสภา แต่ไม่ใช่ด้วยความสำนึกผิด ทว่าด้วยความจนตรอก และหมายจะเอาการเลือกตั้งมาช่วยฟอกผิดให้ตัวเอง ประชาชนจึงขัดขวางการเลือกตั้งและขอให้มีการปฏิรูปเสียก่อน ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขและพัฒนาการของเหตุการณ์ในตอนนั้น อันจะเห็นด้วยและเห็นต่างกันได้ ว่าขัดขวางการเลือกตั้ง ทำลายกระบวนการประชาธิปไตยทำไม จะได้ถกเถียงกันว่าบทเรียนที่ผ่านมา ควรนำไปสู่อะไร แต่ไม่ใช่ทำเป็นไม่รู้ ไม่มี ความเลวทรามในสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกกำหนด ครอบงำ ด้วยเสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ถึงขั้นกดบัตรแทนกัน และพฤติกรรมเลวทรามอื่นๆ อีกเยอะแยะ
11) ประชาธิปไตยจึงต้องได้รับการสั่งสอนและแก้ไข เช่นกันกับการชุมนุมของประชาชน และการทำหน้าที่ของกองทัพ แทนการผลักไสไปเป็นศัตรู ควรหันหน้ามาดูความผิดพลาดที่แต่ละกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง และป้องกันไม่ให้มันไปถึงจุดนั้นอีก
12) เราจึงไม่อาจจิกหัวด่ากองทัพ และตั้งท่าจะตัดงบ ตัดคน ไม่เกณฑ์ทหาร โทษฐานที่มันเสือกก่อรัฐประหาร โดยไม่ชี้ว่า ความล้มเหลวเลวทรามของสภาคือจุดแรกเริ่มที่นำมาสู่รัฐประหารนี้ มันเป็น “เชื้อ” ที่เกิดจากการกระทำเกินความเป็น “เสียงข้างมาก” ที่ดี
13) ชนะเลือกตั้ง กุมเสียงข้างมาก แล้วทำอะไรก็ได้หรือ ฝ่ายประชาธิปไตย? ออกกฎหมายให้คนตาย ไม่ต้องได้รับความเป็นธรรมก็ยังดีงาม น่าเชิดชูอยู่?
14) ในเหตุการณ์ครั้งนั้น หากกองทัพไม่มายุติ สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นไหม รัฐมนตรีรักษาการแค่ไม่กี่คนจะให้ทางออกอะไรกับประเทศที่ถึงทางตันแล้ว เมื่อผลพวงจากการ
โยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อย่างไม่ชอบธรรมของฝ่ายประชาธิปไตย ที่ลอยหน้าลอยตาจะเล่นงานทหารอยู่ตอนนี้ ทำให้เหลือรัฐมนตรีที่ “ขาดประชุม” ในวันสั่งย้ายนายถวิลเท่านั้น ที่ยังเหลืออยู่ และทำหน้าที่รักษาการ พวกเขาทำอะไรได้ อนุมัติงบประมาณได้ไหม ออกกฎหมายเลือกตั้งได้ไหม ไม่ได้ ครั้นทหารปิดห้องให้ประชุมหาทางออกกัน 2 วัน ก็ไม่ยอมลาออก เพื่อเปิดทางให้สมาชิกวุฒิสภา แก้ไขด้วยกลไกประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ความเห็นแก่ตัวและอยากเอาชนะครั้งนั้นไม่ใช่หรือ ที่ทำให้ทหารตัดสินใจยึดอำนาจ
15) ผมชอบที่สุดคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พูดบ่อยครั้งว่า ทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา เราทุกคนมีส่วน วันนี้เป็นเวลาแก้ไข ไม่ใช่เวลามาโทษกัน 5 ปีที่ผ่านมานั้น ปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนของประชาชนมีมากเกินกว่าที่พรรคการเมืองจะยังมามัวเอาแต่จะชนะกันด้วยเรื่องพวกนั้น แต่ต้องเร่งแก้ปัญหาให้ประชาชนก่อน “ประชาธิปไตยสุจริต” จึงกลายเป็นคำใหม่ที่เกิดขึ้นในวงการเมือง เพราะที่ผ่านมา พวกประชาธิปไตย ก็ประชาธิปไตยไม่จริง หรือไม่สุจริต
16) กองทัพก็เป็นสถาบันหนึ่งของชาติบ้านเมือง มีคุณูปการและมีความผิดพลาด เช่นเดียวกับฝ่ายการเมืองและฝ่ายประชาชน ห้ำหั่นกันไปก็ตายเปล่า ไม่มีใครชนะ มีแต่แพ้ โดยเฉพาะชาติบ้านเมืองนี่แพ้หนัก ล้มเหลว ล้าหลัง อย่างที่บางพรรคเอามาหาเสียงอยู่นี่แหละ การเดินออกจากปัญหาการบรรเทาและขจัดปัญหา จึงไม่ใช่การด่าทอ โทษกัน แต่อยู่ที่การสำนึก ยอมรับ ขออภัย และไปต่อให้ดีกว่าเดิม ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของกันและกัน
17) งบประมาณของกองทัพ ยังคงถูกกำหนดโดยสภาผู้แทนราษฎรอยู่ดี ได้มาเท่าไหร่ เขาจึงจัดสรรกันตามกลไกจะซื้ออาวุธหรือจะทำอะไร ก็เป็นการตัดสินใจชั้นที่สอง ไม่ใช่ชั้นต้น กำลังพลมากไป จะปรับลดอย่างไร ก็หันมาปรึกษาหารือกัน ไม่ใช่ปราศรัยหยามหมิ่น สร้างความชิงชัง อีกฝ่ายก็ดันไล่ให้ไปฟังเพลง ไหนักแผ่นดิน” เสียอย่างนั้น ประชาชนที่รอการแก้ไขปัญหา ได้แต่ทำตาปริบๆ นี่กูต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายไหน และเกลียดฝ่ายไหนอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
เราหาทางออกด้วยการหันหน้าเข้าหากัน เห็นความสำคัญของกันและกัน และช่วยกันทำให้บ้านเมืองดีกว่านี้ไม่ได้หรือ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมจึงบอกแก่ทุกๆ คนเสมอว่า เลือกคนไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ไปแก้แค้น เลือกคนที่เห็นปัญหาของเราและจะไปแก้ปัญหาให้เรา ไม่ใช่เกณฑ์เราไปเลือกมัน เพื่อให้มันไปแก้แค้นกันไม่รู้จบ
24 มีนาคม จึงเป็นวันเลือก “ตัวแทน” ที่ดี ที่พาเราออกจากความขัดแย้ง
ไม่เลือกคนหรือพรรคที่สร้างความขัดแย้งใหม่ เพราะเราต้องการคน “ดับไฟ” ไม่ใช่คน “ก่อไฟ”
แผ่นดินลุกเป็นไฟมาหลายปีแล้ว วางความโกรธเกลียดกันลง แล้วหันมาพัฒนา-แก้ปัญหาชีวิตของเพื่อนร่วมชาติกันดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี