พรรคภูมิใจไทยกำหนดนโยบายประเทศว่า จะออกกฎหมายบังคับให้ชาวนา โรงสี ผู้ส่งออก จัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ในอัตรา 75% ให้ชาวนา, 25% แบ่งให้พ่อค้า โรงสี ผู้ส่งออก และมีการอ้างอิงว่าจะดำเนินการในลักษณะ พ.ร.บ.อ้อยน้ำตาลทราย 2527
บทความนี้ ต้องการจะบอกว่า หากนโยบายข้าวดำเนินการในลักษณะเดียวกับอ้อยและน้ำตาลทราย ประเทศไทยจะต้องเกิดวิกฤติในเรื่องข้าวอย่างแน่นอน
ถาม อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เขาทำอย่างไรจึงได้กำไร เจริญรุ่งเรือง ทั้งชาวไร่และโรงงานน้ำตาล?
ตอบ ขณะที่ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลมารวมตัวกัน โรงงานน้ำตาลมีจำนวนประมาณ 50 โรง
มีเจ้าของเพียงไม่กี่ตระกูล
ชาวไร่อ้อยรายเล็ก ปกติต้องขายอ้อยผ่านชาวไร่อ้อยรายใหญ่ที่เป็นหัวหน้าโควตา จัดสรรปริมาณและคิวอ้อยเข้าโรงงาน
หัวหน้าโควตารวมตัวกันเป็นสมาคมชาวไร่อ้อย และหลายสมาคมในหลายเขต รวมตัวกันเป็นสมาพันธ์ชาวไร่อ้อย นี่เป็นพัฒนาการก่อนมี พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล 2527
เมื่อชาวไร่อ้อยไปรวมตัวกับโรงงานน้ำตาลทั้งหมดก็เป็นการ “รวมหัว” (cartel) ผูกขาดการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลในประเทศไทยได้
ถาม แล้วอุตสาหกรรมการปลูกข้าว การแปรรูปส่งออกข้าว จะเอาอย่างอุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาล โดยออกกฎหมายเหมือน พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลฯ อย่างที่ภูมิใจไทยเขาภูมิใจนำเสนอ ได้ไหม?
ตอบ หากจะออกกฎหมายย่อมออกได้ แต่ถึงขั้นลงมือทำจริงทำไม่ได้ และไม่เกิดประโยชน์กับชาวนา โรงสี ผู้ส่งออกเลย
เพราะปัจจุบัน ชาวนามีจำนวนเป็น 10 ล้านคนอยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศ โรงสีมีหลายหมื่นโรง มีทั้งโรงสีขนาดใหญ่ขนาดเล็ก มีผู้ส่งออกอีกหลายร้อยคน
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า การนำคนเป็นสิบล้านคนมารวมตัวกัน โรงสี ผู้ส่งออกหลายหมื่นคน โดยที่โครงสร้างการผลิตและการรวมตัวไม่ได้เหมือนอ้อยน้ำตาล มันยากแค่ไหน และทั้งหมดจะต้องไว้ใจกันว่า บัญชีรายรับ รายจ่าย จะถูกแบ่งกำไรผลประโยชน์ในอัตราส่วน 75 : 25 ได้อย่างเป็นธรรมและถูกต้องหรือไม่?
ถาม ทำไมอ้อยและน้ำตาล เขารวมตัวกันได้ ต่างกันตรงไหน ขอชัดๆ ได้ไหม?
ตอบ โรงงานอ้อยน้ำตาลมีเป็นสิบโรง แต่โรงสีมีเป็นหมื่นโรง โรงงานน้ำตาลลงทุนเป็นพันล้านขึ้นไป และถูกคุมจำนวนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนโรงสีลงทุนเพียงล้านบาทขึ้นไปก็สร้างใหม่ได้แล้ว
โรงงานน้ำตาลต้องการจัดคิวอ้อยป้อนเข้าโรงงาน จึงรับซื้ออ้อยแต่เฉพาะหัวหน้าโควตา ชาวไร่อ้อยขนาดเล็กจึงต้องขายอ้อยผ่านหัวหน้าโควตา (ถูกหัวหน้าโควตาเก็บค่าหัวตัน (เงินกินเปล่า) และประโยชน์จากการบังคับให้ซื้อปุ๋ย ใช้รถขนอ้อยของหัวหน้าโควตา และอื่นๆ สารพัด)
เมื่อหัวหน้าโควตารวมตัวกันและไปรวมกับโรงงานน้ำตาลจึงเกิดการผูกขาดในประเทศไทยได้
ถ้าจะทำโมเดลนี้ ก็ต้องตอบคำถามว่า จะจัดการรวมตัวกันอย่างไร?
ถาม : ฟังดูเรื่องการรวมหัวกันทั้งอุตสาหกรรมข้าว จะทำได้ยาก แต่สมมุติว่าทำได้ จะได้ประโยชน์เหมือนอุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาลได้ไหม?
ตอบ : อุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาล เมื่อเขารวมหัวกัน เขาก็จัดสรรโควตาขายน้ำตาลเป็น 2 ราคา
ส่วนที่ส่งออก ก็ขายตามราคาตลาดโลกซึ่งเราไปทำอะไรมากไม่ได้ เพราะต้องแข่งขันกับน้ำตาล
ประเทศอื่นๆ
แต่โควตาน้ำตาลส่วนที่ขายในประเทศ เขาก็ขายในราคาแพงพิเศษ (หลายครั้งราคาแพงกว่าที่ขายต่างประเทศ 2-3 เท่าตัว) เทคนิคที่ทำได้ก็คือลดปริมาณน้ำตาลที่ปล่อยขายในประเทศให้น้อย ราคาในประเทศก็จะขึ้น
แล้วก็จัดสรรปริมาณขายให้โรงงานน้ำตาลแต่ละโรง ปล่อยน้ำตาลสู่ตลาดในแต่ละเดือนได้
ไม่เกินจำนวนเท่าไหร่
คนในประเทศก็กินน้ำตาลแพงกว่าราคาต่างประเทศ แล้วนำรายได้มารวมกันทั้งที่ส่งออกและขายในประเทศ แบ่ง 70:30
ถ้าจะดำเนินการกับอุตสาหกรรมข้าวเช่นเดียวกัน ก็จะต้องบังคับให้โรงสีหลายหมื่นโรงปล่อยข้าวสารในประเทศให้น้อยลง ราคาข้าวสารในประเทศจะได้สูงขึ้น
ถามว่า ราคาสูงขึ้น จะมีโรงสีข้าวลักลอบขายข้าวในประเทศเพิ่มขึ้นหรือไม่? จำนวนโรงสีก็มีหลายหมื่นโรง สร้างใหม่ก็ง่าย มีเงินไม่มากก็สร้างได้แล้ว
ถาม น้ำตาลทรายเขาผูกขาดในประเทศ เขาก็ได้ผลประโยชน์กำไรดี แล้วคนใช้น้ำตาลรายใหญ่ เช่น โรงงานน้ำหวาน ทอฟฟี่ ฯลฯ เขาไม่ด่าเอาเหรอ แล้วคนกินน้ำตาลทำไมถึงรับได้?
ตอบ ผู้ผูกขาดเขาฉลาดที่จะติดสินบนโรงงานน้ำหวาน น้ำอัดลม ทอฟฟี่ พวกใช้น้ำตาลรายใหญ่ โดยให้โควตาพิเศษในราคาพิเศษ
ส่วนผู้บริโภคทั่วไปก็คงไม่อยากจะโวยวายอะไร เพราะวันหนึ่งก็กินน้ำตาลไม่มาก ต้นทุนการโวยของแต่ละคนมากกว่า
แต่ถ้าโมเดลนี้ทำกับอุตสาหกรรมข้าว แล้วถ้าประสบความสำเร็จ ราคาข้าวในประเทศต้องสูงขึ้น ชาวนา และโรงสี ผู้ส่งออกจึงได้ประโยชน์มากขึ้นไปแบ่งกัน จะถูกผู้บริโภคในประเทศเล่นงานแน่ เพราะคนกินข้าวทุกมื้อ กินมากกว่าน้ำตาลมาก โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน
ถาม พรรคภูมิใจไทยออกมาอธิบายว่า จะไม่ทำให้ราคาข้าวสารในประเทศสูงขึ้น แล้วเขาทำไปทำไม?
ตอบ ก็นั่นน่ะสิ โมเดลอุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาล เป็นโมเดลการรวมหัว (Cartel) ของผู้ผลิตทั้งหมด เพื่อขึ้นราคาขาย แต่ถ้าบอกจะไม่ยอมให้ราคาข้าวสารในประเทศสูงขึ้น แล้วเขาจะไปเอากำไรที่เพิ่มขึ้นมา
จากไหน
ถ้าเขาฝันเลอะเทอะ ว่ารวมหัวกันแล้วจะขายส่งออกในราคาสูง ก็น่าจะได้บทเรียนจากเพื่อไทย
ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่ารัฐเอาเงินไปซื้อเก็บข้าว ไม่ขายต่างประเทศ ราคาก็ไม่ขึ้น เพราะตลาดข้าว ผู้ปลูกข้าวในโลกมีมากมาย ยิ่งกว่านั้น ยังมีธัญพืชอื่นๆ ที่เป็นตระกูลแป้งหรือคาร์โบรไฮเดรตทดแทนแข่งขันจำนวนมาก
ถาม ที่ว่ามา อาจารย์ไม่รู้จริง ภูมิใจไทยเขาอาจจะทำได้ ราคาในประเทศสูงได้จริง แล้วเอามาแบ่งกันระหว่างชาวนา โรงสี และผู้ส่งออกได้มากขึ้น จะว่าอย่างไร?
ตอบ ถ้าทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้นได้จริง แล้วจะป้องกันข้าวเปลือกจากพม่า ลาว เขมร เข้ามาขายในประเทศไทยอย่างไร?
และถ้าราคาข้าวในประเทศไทยสูงกว่าต่างประเทศ ปริมาณข้าวสารที่จัดสรรเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ จะมีการลักลอบย้อนกลับมาขายในประเทศหรือไม่
โมเดลนี้จะเป็นจริงและอยู่ได้ไหม?
ถาม ก็แสดงว่า พรรคการเมืองของเราที่ไม่รู้เรื่องโครงสร้างการผลิตและตลาดก็มี แสดงว่าเป็นแต่กินข้าว ไม่ศึกษาและฝันไปเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมามาก
ตอบ ก็จำนำข้าวทำประเทศพินาศไปอย่างไรบ้างแล้ว!
แว่วมาว่าพรรคพลังประชารัฐก็กำลังจะเอาโครงการจำนำข้าวกลับมา เลี่ยงไปเรียกชื่ออื่น แต่รายละเอียดก็เหมือนๆ กับความล้มเหลว สร้างภาระให้กับประเทศ เหมือนจำนำข้าวของเพื่อไทย
ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง ถ้าเขาทำดีจะทำดีบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ที่เขาทำเลว ทำอย่างเขาบ้านเมืองก็หมดทางเลือก (นี่ยังไม่ได้รวมกรณีพรรคพลังประชารัฐดูดคน...เข้าพรรคเหมือนระบอบทักษิณ)
โอกาสหน้า จะขอฉีกนโยบายข้าวของพรรคพลังประชารัฐและพรรคอื่นๆ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี