ผมได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่า “คนไทยควรเลิกพูดเรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร ได้แล้ว” หรือไม่ก็ “เราควรจะข้ามเรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร ไปได้แล้ว” ก็คงเพราะเรายังมีเรื่องอื่นๆ ที่จะต้องทำอีกมากมาย จะไปมัวพะวักพะวงกับคุณทักษิณ ชินวัตร กันไปอีกทำไม?
ประโยคดังกล่าว ฟังแล้วก็คงเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เฉพาะในกรณี ที่คุณทักษิณ ชินวัตร จะยอมล้างไม้ล้างมือและเลิกราไปจากสนามการบ้านการเมืองของสังคมไทยเราเช่นเดียวกัน
แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว คุณทักษิณ ชินวัตร นั้นยังคงมุ่งมั่น และผูกติดตนเองกับการบ้านการเมืองไทยอยู่ทุกลมหายใจ แถมยังเล่นบทเป็นขาใหญ่ และเป็นผู้มีอิทธิพลต่อสังคมผ่านพรรคการเมืองไทยในสังกัดอย่างเหนียวแน่น ไม่คิดลดละแต่อย่างใด
โดยเหตุผลหลักที่คุณทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ยอมตัดขาดจากสังคมไทย และเวทีการบ้านการเมืองไทยไปอย่างถาวร นั่นก็เพราะ คุณทักษิณ ชินวัตร ยังเฝ้าฝันอยากกลับบ้านเกิดเมืองนอนอย่างสง่างาม แบบใสสะอาดไร้มลทินใดๆ หรือตามศัพท์ที่เขาเรียกว่า กลับบ้านแบบเท่ๆ
เพราะหากกลับมาโดยถูกดำเนินคดีเสียแล้ว ความต้องการที่จะกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินสยามประเทศก็จะเป็นหมันไปโดยปริยาย ซึ่งคงจะส่งผลกระทบต่อความเจริญของประเทศไทย อันเนื่องมาจากความคิดและความเชื่อมั่นของเขาที่ว่า มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่เก่งที่สุด เลิศเหนือผู้อื่นใด ในการนำพารัฐนาวาสยามไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนไทยมาแล้วว่า นโยบายประชานิยมที่ริเริ่มด้วยตัวเขานั้น ได้ลงรากฝังลึกในจิตในใจของคนไทยไปแล้ว ซึ่งในตอนนั้นก็เรียกว่าไม่น้อยกว่า 12 ล้านคน (คะแนนเสียง) หรืออย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 1/3 ของผู้คนทั้งประเทศก็ว่าได้
แต่จนแล้วจนรอด แม้จะได้เสียงสนับสนุนขนาดนั้น คุณทักษิณ ชินวัตร ก็ยังยึดประเทศไทยยังไม่ได้ เพราะยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่เห็นธาตุแท้ของคุณทักษิณ ชินวัตรและได้ทำการปฏิเสธวิธีการบริหารบ้านเมืองของเขา ซึ่งก็ต้องรอระยะเวลาหนึ่ง กว่าที่ความเสียหายจากการดำเนินนโยบายประชานิยมเพื่อการคอร์รัปชั่น จะระเบิดออกมาฟ้องสังคมไทย
ในขณะนั้น การเมืองไทย บ้านเมืองไทย ก็ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายที่ 3 อันได้แก่ ฝ่ายข้าราชการประจำ ทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมไปถึงวิสาหกิจรัฐ กลับเลือกที่จะไม่เข้ากับฝ่ายใด แทนที่จะเลือกยืนอยู่กับความถูกต้อง ที่ต่อต้านการทุจริต และการใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งจะเป็นการปกป้องรักษาราชอาณาจักรไทยตามเจตนารมณ์ของวิชาชีพอย่างแท้จริง
และเมื่อฝ่ายข้าราชการประจำโดยกองทัพ เลือกที่จะไกล่เกลี่ย ให้ความดีสมยอมกับฝ่ายผิด ผลก็คือ ความเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องธรรมะจะหลอมรวมกับเรื่องอธรรม แล้วเรื่องราวก็กลับกลายเป็นข้ออ้างในการเข้ายึดอำนาจถึง 2 ครั้งโดยครั้งแรกยึดไปแล้ว ดันคิดอ่านไม่เป็น ทำงานไม่ได้ ว่าจะลงมือแก้ไขปัญหาประเทศชาติอย่างไร ก็หลับหูหลับตา โยนการเลือกตั้งกลับมาสู่สังคมไทย โดยไม่ได้มีการจัดระเบียบแก้ไข ส่งผลให้ระบอบและขบวนการทักษิณทุนนิยมสามานย์สามารถกลับสู่อำนาจอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการผสมผสานของลัทธิทักษิณบูชา นโยบายประชานิยม และนโยบายหลอกลวงความเป็นนักประชาธิปไตย ซึ่งมีผลทำลายสังคมไทยได้รุนแรงกว่าครั้งแรกมากมาย
จนเมื่อการยึดอำนาจครั้งที่สอง ฝ่ายกองทัพก็เลือกที่จะเขียนกติกาเพื่อให้ฝ่ายตนคงอยู่ในอำนาจต่อไป และเป็นส่วนหนึ่งของเวทีการบ้านการเมืองไทย โดยปฏิเสธหลักประชาธิปไตยที่ว่า ฝ่ายข้าราชการประจำไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ควรเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามนโยบายและคำสั่งของฝ่ายการเมือง แต่ในขณะนี้ ฝ่ายกองทัพพร้อมด้วยข้าราชการประจำต่างๆ กลับตั้งตัวเป็นองค์กรทางการเมือง คล้ายรูปแบบพรรค หรือขบวนการการเมืองรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ในการรัฐประหารหนที่สองนี้ ฝ่ายกองทัพก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือมิได้จัดการกับระบอบและขบวนการทักษิณแต่อย่างใด กลับปล่อยให้ลอยนวล ท้าทายและหาช่องทางบ่อนทำลายมาโดยตลอดชั่วทุกขณะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจต่อประชาชนที่ต่างรับรู้ว่า รัฐบาลทหารในยุคนี้ มีอำนาจ และการสนับสนุนจากประชาชนสูงมาก แต่กลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ อย่างเป็นรูปธรรมในการจัดการขบวนการบ่อนทำลายชาติของระบอบทักษิณ
เมื่อปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุด ฝ่ายระบอบทักษิณ กับฝ่ายกองทัพและขบวนการ ก็เลยกลายมาเป็นคู่ต่อสู้หลัก ในเวทีการเลือกตั้ง 24 มีนาคมนี้
คำถามคือ ที่ผ่านมา ฝ่ายกองทัพปล่อยให้ฝ่ายระบอบทักษิณยังคงอยู่ สะสมกำลัง จนสามารถมาท้าชิงอำนาจรัฐอีกครั้งได้อย่างไร?
คำตอบที่พอจะนึกได้ก็คือ ที่ผ่านมา ฝ่ายกองทัพคงมัวแต่คิดเรื่องจะสานต่ออำนาจของตนเอง บวกกับใจไม่แข็งพอที่จะดำเนินการขจัดระบอบทักษิณ
ล่าสุดระบอบทักษิณและขบวนการ กล้าหาญชาญชัยถึงขั้นดึงฟ้าลงสู่สนามการเมือง เล็งชัยชนะในสนามเลือกตั้ง แล้วยังจะคิดที่จะเปลี่ยนรูปโฉมของราชอาณาจักรไทยอีกด้วย
แต่ถือว่ายังมีโชคดี ที่การณ์นี้ถูกพลิกคว่ำเสียตั้งแต่ต้น
คำถามคือ แล้วฝ่ายกองทัพและแวดวงผู้นำทางการเมือง ที่มักจะกล่าวว่า ราชอาณาจักรไทยอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นเหตุใด ในวันนั้น จึงกลับหายหน้าหายตากันไป แทนที่จะตบเท้าออกมาปกป้องราชอาณาจักรไทย และราชบัลลังก์
เรื่องนี้มิได้จบแค่ที่ มติศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคที่สามานย์ เพราะความคิดและเป้าหมายของระบอบทักษิณและขบวนการนั้น เข้าข่ายการทรยศต่อชาติบ้านเมือง
ระบอบทักษิณและขบวนการเครือข่ายต้องหมดไปจากแผ่นดินไทย ตราบใดที่ระบอบยังคงอยู่ เมืองไทยไม่สงบแน่ๆ
ฉะนั้น ระบอบต้องสูญพันธุ์ บุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษ ถูกห้ามลงเวทีการเมืองอีก
แล้วใครรับผิดชอบทำให้การสะสางเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง?
ก็ต้องเป็นประธาน คสช. และนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องเป็นหัวหอกในการดำเนินการ
ประชาชนเขารออยู่ เหลือก็แค่ ความกล้าหาญของผู้นำของเขา ที่จะต้องออกมานำสังคมเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี