รับทราบข้อกล่าวหาและปล่อยตัวไปแล้วสำหรับคดีแรกของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่จากข้อหาผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(2) กรณีจัดรายการคืนวันศุกร์ให้ประชาชน แต่พรรคอนาคตใหม่ก็ยังเหลืออีกหนึ่งประเด็นอย่างกรณีใส่ประวัติผิดของหัวหน้าพรรค ที่อาจมีผลต่อสถานะของพรรคอนาคตใหม่หรือไม่? เช่นเดียวกับพรรคไทยรักษาชาติ ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าประเด็นการยุบพรรคจะเป็นอย่างไร? แต่ก็ได้เปิดเกมหาเสียงต่อแล้ว โดยเปลี่ยนมาเป็นการชูนายจาตุรนต์ ฉายแสง ไว้ในป้ายโฆษณาหาเสียง ไม่แน่ชัดว่าต้องการสื่อประเด็นอะไร? ทำให้ในสนามจริงของการเลือกตั้งครั้งนี้ดูจะเหลือการแข่งขันแบบชัดเจนอยู่สามพรรคใหญ่เท่านั้น คือ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ และคู่ขนานไปกับการทิ้งทวนรัฐบาล คสช. ก่อนเปลี่ยนผ่านเป็นรัฐบาลประชารัฐหรือไม่?
ดูเหมือนนับวันประชาธิปัตย์จะชัดเจนแล้วว่ากลายเป็นพรรคตัวแปร เพราะนานวันเข้าคำสัมภาษณ์ของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายใด ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นตัวแปรที่พร้อมจะเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ จึงดูเหมือนว่าประชาธิปัตย์ก็พร้อมจะเป็นรัฐบาลแต่อยู่ที่ว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายใด ในขณะที่คู่ขัดแย้งที่ไม่มีทางรวมกันได้ คือเพื่อไทย และพลังประชารัฐ ที่เผชิญหน้ากันทุกระดับและชนกันทุกพื้นที่
พปชร. VS พท. นโยบายไม่ต่างกันแต่แข่งกันอย่างดุเดือด หลังจากที่ไม่มีใครน่าจะทำนโยบายจำนำข้าวได้อีก จากประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวและคดีที่เกิดขึ้นกับกรณีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และความเสียหายต่อประเทศ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนโยบายข้าวของพรรคพลังประชารัฐกำลังถูกสังคมวิจารณ์ว่าใกล้เคียงกับจำนำข้าวหรือไม่? ซีกเจ้าของนโยบายจำนำข้าวเดิมอย่างเพื่อไทยแม้ยอมถอยไม่ทำจำนำข้าวต่อ แต่ดูเหมือนเค้าลางนโยบายใหม่จะเทียบเคียงใกล้เคียงกับการจ่ายส่วนต่างแบบประกันรายได้ของประชาธิปัตย์หรือไม่? ต้องรอติดตามที่คาดว่าจะประกาศเร็วๆ นี้
สุดท้ายนโยบายก็ดูจะวนไม่ต่างกันนัก อยู่ที่ว่าใครจะเป็นภาระทางการคลังมากกว่ากัน ในขณะที่พลังประชารัฐเน้นชูนโยบายสวัสดิการต่อยอดจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นหลัก โดยการประกาศแนวนโยบายสามด้าน ได้แก่ สวัสดิการประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐและสังคมประชารัฐ ซึ่งไม่พ้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการใช้คำที่ดูจะกลมกลืนไปกับนโยบายโครงการประชารัฐที่รัฐบาลดำเนินการอยู่
นอกจากนี้แล้วนโยบายเหล่านี้ เมื่อมีการวิเคราะห์เจาะลึกแล้ว ก็มีการตั้งคำถามตามมาทันทีถึงความเป็นประชานิยมของนโยบาย อาทิ การสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มารดาประชารัฐ นโยบายข้าวได้ราคา-ชาวนาได้เงินเพิ่ม โครงการบ้านล้านหลัง เหล่านี้ล้วนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่พ้นอาจเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้รัฐบาลทั้งสิ้นหรือไม่? โดยเฉพาะนโยบายข้าว ที่หลายคนสงสัยว่า มีความคล้ายคลึงกับนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทยที่สร้างความเสียหายมาก่อนนี้แล้วหรือไม่? ประเด็นนี้จึงก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า เหตุใดจึงคิดจะดำเนินการในลักษณะเดียวกันอีกทั้งที่มีบทเรียนแล้วว่าการจำนำข้าวสร้างความเสียหายให้กับประเทศมากเพียงใด?
ในขณะที่เพื่อไทยประกาศมาตรการการเกษตร ที่นอกจากเรื่องข้าวว่าใกล้เคียงกับประกันรายได้ของประชาธิปัตย์แล้ว การประกาศพักหนี้เกษตรกรก็ดูจะใกล้เคียงไม่ต่างกันหรือไม่? ที่จะเพิ่มขึ้นมาก็คงมีเพียงกองทุนปรับเปลี่ยนหน้าดิน ซึ่งก็ต้องไปดูถึงที่มางบประมาณว่าจะทำได้ในทางปฏิบัติจริงโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณจริงหรือเปล่า? ดูเหมือนงวดนี้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถจะออกนโยบายลดแลกแจกแถมได้เหมือนในอดีต จึงเหมือนจะถูกบีบให้ต้องคิดนโยบายเชิงวิชาการที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและไม่เป็นภาระงบประมาณ? ดูแล้วจึงยากที่จะมีเครื่องมือเด็ดๆ มาสู้เหมือนเคย
ทั้งนี้นอกจากการแข่งขันทางนโยบายแล้ว อีกเรื่องที่ดูจะขับเคี่ยวไม่แพ้กันคือเรื่องอุดมการณ์และจุดยืน ทั้งฝั่งเพื่อไทยที่พยายามประกาศตัวเองเป็นประชาธิปไตยต่อต้านรัฐประหาร และพยายามโจมตีว่าพรรคพลังประชารัฐคือทายาทของคสช. ในขณะที่ฝั่งพลังประชารัฐก็พยายามจะโจมตีว่า ที่มาของการรัฐประหารก็มาจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและการทุจริตของนักการเมืองที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารจนเป็นเหตุให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง และตนเองคือผู้แก้ความขัดแย้งนั้น เอาเข้าจริงรัฐบาลคสช. สามารถแก้ความขัดแย้งได้จริงหรือไม่?
และการต่อยอดมาเป็นพรรคพลังประชารัฐจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบอย่างที่ประชาชนต้องการจริงหรือไม่? ในขณะที่ฟากเพื่อไทย มีความเป็นประชาธิปไตยแบบไหน? ภายในพรรคเป็นประชาธิปไตยหรือไม่?การบริหารประเทศที่ผ่านมาของรัฐบาลเพื่อไทยส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยหรือแค่พวกมากลากไป? เพราะอย่างกรณี พ.ร.บ. นิรโทษกรรมก็ดี การใช้อำนาจในสภาเสียงข้างมากแก้กฎหมายโทรคมนาคมก็ดี หรือการใช้อำนาจต่อกรณีการซื้อที่ดินรัชดาก็ดี ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?
เช่นเดียวกับการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันที่ก็มีหลายประเด็นที่ไม่สามารถตอบคำถามประชาชน เรื่องการทำหน้าที่ที่ดูจะไม่ปกติของฝ่ายบริหารบางคนหรือไม่? แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือการทำหน้าที่ของสนช. ในรัฐบาลคสช. ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาสนช. ปัจจุบันผ่านมาแล้วกว่า 400 ฉบับ แม้กระทั่งตั้งแต่หลังปีใหม่ปีนี้เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็ผ่านกฎหมายมาแล้วเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 ฉบับ และแม้แต่หลังมีการประกาศกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมาแล้ว กลับยิ่งทวีเร่งออกกฎหมายเข้าไปอีก ซึ่งหลายฉบับก็มีความเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่?
อย่างพ.ร.บ.ข้าวที่หากไม่ถูกท้วงติงจากสังคมเป็นอย่างมากก็อาจจะผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังมีร่างกฎหมายอีกหลายฉบับที่ต้องจับตา อาทิ ร่าง พ.ร.บ.โรงงานซึ่งอาจจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโรงงานได้ก่อนได้รับใบอนุญาต รวมทั้งทำให้โรงงานจำนวนมากหลุดออกจากการควบคุมดูแลตามกฎหมายโรงงาน, ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเปลี่ยนจากให้ผู้รับมรดกเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ต้องเสียภาษีมรดก เป็น 100 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียภาษีจริงๆ มีเพียงแค่ไม่กี่คนหรือไม่?, ร่างพ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี ซึ่งจะเปิดทางให้ “นายพลทหาร-ตำรวจ” มีสิทธิเทียบตำแหน่งอธิบดีกรม จึงเป็นคำถามจากสังคมว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้จะย้อนแย้งกันหรือไม่กับเจตนารมณ์ของ คสช. ในวันที่เข้าบริหารประเทศ และดูจะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนมากกว่าประชาชนหรือไม่?
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องกลไก 250 สว. ที่ล่าสุดพึ่งมีการแต่งตั้งพล.อ.ประวิตรเป็นประธาน สรรหา สว. ผนวกกับการตอบคำถามของนายกอบศักดิ์ โฆษกพรรค ในการดีเบตครั้งที่ผ่านมาต่อเรื่อง 250 สว. ในทำนองว่า “ไม่ใช่ประเด็นหลัก” ก็ยิ่งจะสร้างความสงสัยให้กับประชาชน
หลายอย่างที่เกิดขึ้นในบรรยากาศก่อนการเลือกตั้งเช่นนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของการเมืองทั่วโลก เพียงแต่รัฐบาลคสช. ผู้ซึ่งประกาศไว้ว่าจะเป็นกรรมการกลางในการระงับความขัดแย้งกับกำลังกลายมาเป็นคู่แข่งขันเอง
“...จิตมนุษย์ ประหนึ่งตุ่มที่มีรูรั่ว เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ไม่ว่าจะบรรจุสรรพสิ่งลงไปเท่าไร ก็ไม่มีวันเต็ม...”
โกวเล้ง จาก ฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี