ดูเหมือนการพูดถึง “ความดี” และความมี “วิสัยทัศน์” กับ “ความซื่อสัตย์สุจริต” ของหมู่คณะที่เป็น “มืออาชีพ” ที่จะเข้ามาเป็นผู้แก้ไขปัญหาของประเทศไทยที่มีอยู่อย่างมากมาย ถูกทำให้สำคัญน้อยกว่า “ใครขั้วไหน-ใครพวกใคร”
ลองดูเหตุการณ์และการนำเสนอความคิดของคนในขั้วต่างๆ ดังต่อไปนี้ดูนะครับ
1) การ “บีบมุมมอง” การเลือกตั้ง ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
1 มีนาคม 2562 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คของเขาว่า
“สวัสดีครับ พี่น้องมวลมหาประชาชนทุกท่าน มีคนถามผมว่าทำไม ไม่ก้าวข้ามทักษิณไปซะที... จะเล่าให้ฟังครับ
เมื่อย้อนไปเมื่อปี 2543-44 การเมืองไทยมีอัศวินม้าขาวมาดดูดี ชื่อทักษิณ ชินวัตร เกิดขึ้นมา เปิดตัวด้วยภาพของนักธุรกิจที่คิดใหม่ทำใหม่ คนก็เชื่อมั่นกันไปว่า “รวยแล้วจะไม่โกง” เกิดเป็นกระแส “เห่อของใหม่” จนชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย
จนมาถึงวันที่ “จับได้ไล่ทัน” ก็พบว่า “โกงเก่ง” เป็นคำที่ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นิยามและอธิบายไว้ว่า
“โกงกันหลากหลายรูปแบบ ทั้งผิดกฎหมาย และไม่ผิดกฎหมาย ทั้งที่แก้กฎหมายให้ไม่ผิดก็มี มีเล่ห์เหลี่ยมสูง แยบยลในการประพฤติอันมิชอบ”
มาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ทักษิณเขารู้จริตคนไทยดี จึงใช้แผนชูอัศวินตัวใหม่ขึ้นมาด้วยมุขเก่าคือ รวย ไม่โกง เปลี่ยนแปลงประเทศ เป็นตัวร้ายตัวใหม่มาเสนอหน้า แทบจะถอดแบบทักษิณ ทำท่าจะเสียสละ สัญญาจะทำให้ประเทศดีขึ้น
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะยิ่งร้ายกาจกว่าเดิม เพราะมีจุดยืนแข็งกร้าวชัดเจน ด้วยการออกมาวิจารณ์ในเรื่อง ขนบประเพณี ศาสนา ทหาร หรือแม้แต่เรื่องของสถาบันฯที่คนไทยส่วนใหญ่เขายกไว้เหนือหัวเหนือเกล้า
นี่ยังไม่นับพรรคการเมืองเก่าใหม่ ที่แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย ด้วยแผนแยกกันเดิน แล้วรวมกันตี ทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ เพื่อให้ได้กลับมามีอำนาจ เช่น ผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมตอนดึกสงัด สั่งการเผาบ้านเผาเมืองโดยมีคลิปเป็นหลักฐานคาตาบงการจำนำข้าวจนเสียหายไป 5 แสนล้าน ล่าสุดก็คือการดึงเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เชื่อเถอะครับ “ทักษิณยังอยู่” แม้ว่าตัวจะหนีไปต่างประเทศก็ยังคงวนเวียนไม่ไปไหน
เราต้องเรียนรู้บทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่“เจ็บแล้วต้องรู้จักจำให้ดี”
ผมเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่คนไทย “ไม่ควรยอม” ก้าวข้ามทักษิณ
เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกระหว่าง “เอาทักษิณ” กับ “ไม่เอาทักษิณ”
วิเคราะห์ : ข้อเขียนนี้ของนายสุเทพ ยกเอาปัญหา “การเมือง” มาอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เขาประเมินว่า “ธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คือ “เงาร่างหนึ่ง” ในแบบทักษิณ (บริบทที่พูดถึงนั้น ยากจะทำให้เข้าใจว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ธนาธร) น้ำเสียงถึงกับค่อนไปทางเป็นฝ่ายทักษิณส่งมาด้วยซ้ำไป กับเครือขายของพรรคเพื่อไทย ไทยรักษาชาติ และอื่นๆ ซึ่งค่อนข้างชัดว่าเกี่ยวพันกับ “ทักษิณ” อยู่
มันสะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมืองยัง “มีประโยชน์ทางการเมือง” อยู่มากครับ และเป็น “ทางลัด” ที่จะเรียกคะแนนจากผู้เลือกที่ “กลัวผี” แบบเดียวกัน และคิดว่าผีทักษิณนั้น ต้องจัดการด้วย “ใครสักคน” แทนที่จะพูดถึง “ระบบที่ควรสร้าง” ขึ้นมาป้องกันผีชนิดเดียวกันนี้ เราใช้เวลา 5 ปี ในรัฐบาล คสช. เพียงเพื่อรอวันเลือกตั้งแล้วเอา “คนมารบกับคน” กันต่อใช่ไหมครับ เราไม่สร้างระบบที่จะมาจัดการกับคน “แบบทักษิณ” กันเลยใช่ไหมครับ เช่นนี้แล้ว เราต้องเอา “คนรบกับคน” กันอีกกี่ชั่วรุ่นล่ะครับ กว่าทักษิณจะตายและลูกหลานบริวารของเขาจะสูญพันธุ์ไป
ผมเข้าใจความเกลียดความกลัวในแบบคุณสุเทพ แต่ยอมรับไม่ได้ ที่จะต้องให้ “ลุงตู่” ของ “ลุงกำนัน” เท่านั้น ที่จะเป็น “ยาดีเพียงยาเดียว” ที่จะจัดการกับ “ระบอบทักษิณ” เพราะถ้านี่คือ “ยาดี” ทำไมใช้เวลาตั้ง 5 ปี ผีทักษิณถึงไม่ไปผุดไปเกิด แถมน้องสาวหนีออกนอกประเทศสบายใจเฉิบและตำรวจที่ขับรถไปส่งยิ่งลักษณ์ ก็หนีออกไปได้อีกคนหนึ่งอีก ในยุค “ยาดีปกครองบ้านเมือง”
เรื่องง่ายที่สุดในการเข้าใจข้อเขียนนี้ก็คือ หวังประโยชน์จากความกลัวทักษิณของผู้เลือก ที่ไม่ห่วงปากท้องเกษตรกรรม แรงงาน การศึกษา และอื่นๆ เหมือนตอนที่เขาบวชเป็นพระ แล้วบอกให้ชาวสวนยางใจเย็นๆ ไม่ต้องมาชุมนุม รอรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แก้ปัญหาให้นั่นแหละครับ การเมืองมาก่อน “ความเดือดร้อน” ของประชาชน จึงต้องบีบความคิดคนว่า เฮ้ย!! มีแค่ 2 ทางเลือกนั้นนะ
2) ปีศาจเผด็จการ ที่ต้องใช้ดาราสภาโจ๊กประดิษฐ์
1 มี.ค.2562 ที่ลานคนเมือง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จัดปราศรัยใหญ่ โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวปราศรัยในหัวข้อ “Disrupt เผด็จการ” ตอนหนึ่งว่า ตนฟันธงว่าในวันที่ 24 มี.ค. ประชาชนรู้เช่นเห็นชาติ เข็ดขยาดกับเผด็จการ ไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐ แต่จะเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งนี้ นายกฯ จะใช้มาตรา 44 ได้จนถึงหลังการเลือกตั้ง กลัวว่าถ้าบางพรรคแพ้เลือกตั้งมากๆ เกรงว่าจะมีการใช้มาตรา 44 ยกเลิกการเลือกตั้ง หากรัฐธรรมนูญเรียกกฎหมายแม่ มาตรา 44 ก็เรียกได้ว่าเป็นกฎหมายพ่อ เป็นการสร้างหลักการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ถ้าปล่อยอำนาจแบบนี้วันหนึ่งเขาเป็นรัฐบาลเราจะแตะต้องไม่ได้
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดา แต่เป็นแผนรวมร่างปีศาจสืบทอดอำนาจ ลำตัวคือ คสช. มือข้างหนึ่งเป็นพลังประชารัฐ อีกข้าง สว.250 เสียง และองค์กรอิสระ เท้าข้างหนึ่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และอีกเท้าเป็นพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ร่างปีศาจในการสืบทอดอำนาจได้เกือบครบทั้งตัวแล้ว เหลือเพียงส่วนหัวที่ต้องทำพิธีกรรม ซึ่งพิธีกรรมของเขาคือการเลือกตั้ง ดังนั้น วันที่ 24 มี.ค.คือการทำลายพิธีกรรมสืบทอดอำนาจ โดยการเลือกพรรคไทยรักษาชาติ
ทั้งนี้ เราตั้งพรรคไทยรักษาชาติเพื่อนำคนกลับบ้าน คือ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร และ คสช.ส่งกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ส่วน นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องกับบ้านไปด้วย ทั้งนี้ เราจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ ประกาศให้ พล.อ.ประยุทธ์ และพวกรู้ว่า วันที่ 24 มี.ค.คือวันสุดท้ายที่ต้องออกไป
วิเคราะห์ : เป็นเรื่องถนัดของดาราสภาโจ๊กคนนี้อยู่แล้วครับ ในการใช้ “วาที” ชักจูงความคิด-ความรู้สึกของผู้คน รอบนี้จับเอาขั้วตรงข้ามทั้งหมดของตน คือ พล.อ.ประยุทธ์ ทหาร ม.44 และพรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ไปมัดรวมกัน และผลักไปเป็นฝ่ายเผด็จการ สืบทอดอำนาจ ผูกขาดความเป็นพรรคประชาธิปไตยเอาไว้กับตัว โดยไม่ละอายต่อความชั่วในอดีต ที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งนายณัฐวุฒิ ได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีดื่มน้ำเก่ง ใช้ “เสียงข้างมากในสภาประชาธิปไตย” ออกกฎหมายให้คนเสื้อแดง “ตายเปล่า” นิรโทษกรรมให้แก่คนฆ่า ปล่อยคนถูกฆ่าตายไป อย่างไม่มีกระบวนการค้นหาความจริงและกระบวนการยุติธรรม ถึงขั้นที่คดีใดเข้าสู่ชั้นศาลแล้ว ก็ให้ถอนออกมา กฎหมายชั่วช้าที่ว่า ยังยัดการนิรโทษกรรมคนสั่งฆ่า สั่งเผา และคนทุจริตเอาไว้ด้วย ฝ่ายประชาธิปไตยต้องระยำขนาดไหนครับ ถึงเอาเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไป “ฆ่าประชาชนซ้ำ” เช่นนั้นได้ ณัฐวุฒิ ซึ่งเป็นแกนนำพาคนเสื้อแดงออกจากบ้าน แทนที่จะยกมือสวน ไม่ยอมให้กฎหมายเลวทรามเช่นนี้ผ่าน กลับทำได้แค่ “งดออกเสียง” แปลว่านั่งเฉยๆ ดูกฎหมายฆ่าประชาชนซ้ำเท่านั้นเอง นี่แหละ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่มายืนยกหางตัวเองอยู่บนเวทีปราศรัย
ยุทธวิธีนี้ก็ไม่ซับซ้อนอะไร อย่าไปเลือกพวกคนเลว จงมาเลือกเราพวกคนดี คนที่มีความเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่เผด็จการเลย ถุย!!
3) เสียงของ “นกรู้” ที่รู้จักหาที่อยู่ที่กินในวงการเมืองเสมอ
1 มี.ค.2562 ที่สนามกีฬากลางเทศบาลตำบลสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้มีการจัดปราศรัยใหญ่ โดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสาน กล่าวปราศรัยว่า สาเหตุที่ประชาชนยังดักดานอยู่กับความยากจน เป็นผลมาจากความขัดแย้งของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ อย่างพรรคเครือข่ายของ นายทักษิณ ชินวัตร กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่มัวเอาเวลาไปต่อสู้กัน จนไม่มีเวลาบริหารประเทศ ทำประเทศติดอยู่กับวงจรความขัดแย้งไม่จบสิ้น ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้โอกาสพรรคใหม่อย่างพลังประชารัฐ พรรคทางเลือกในการเข้าไปทำให้พี่น้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านนโยบายต่างๆ ของพรรค ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ , พักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปี, ตั้งกองทุนประชารัฐ และช่วยค่าเก็บเกี่ยวข้าวของชาวนา ไร่ละ 2,000 บาท
วิเคราะห์ : ฉกฉวย ตีกิน เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นได้อย่างแนบเนียน ระหว่างกล่าวหาพรรคอื่น ก็ลืมไปว่าตนเองมาจากพรรคไหน และเคยช่วยเขาทำอะไร ตลอดจนที่ไป “ตกเบ็ด” มาจากขั้วต่างๆ พรรคต่างๆ เป็นนักการเมือง “คุณภาพชั้นไหน” ใช่ “มืออาชีพ” ที่จะไว้วางใจให้บริหารประเทศจริงๆ หรือเปล่า หรือแค่มาแอบใช้กระแสนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าสู่สภากันเท่านั้น ในความคิดของผม เห็นต่างจากนายสุริยะ เพราะดูเถิดว่า วันนี้พรรคฝ่ายทักษิณ ทะเลาะกับใครมากกว่ากัน ระหว่างกับประชาธิปัตย์และกับฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในวันข้างหน้า หาก พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ แต่ไม่มีเกราะคุ้มกันอย่าง ม.44 แล้ว จะเจอกับอะไรบ้าง ลองคิดดู
จึงขอจบด้วยคนนี้ คนที่ความคิดของเขาอาจเป็น “คำตอบ” ในเวลานี้ ที่ทุกคนขายแต่ความเกลียด ความกลัวความโกรธ เอาแต่โทษคนอื่น โดยลืมเพ่งไปที่ “ทุกข์ของประชาชนเป็นใหญ่”
28 กุมภาพันธ์ เวลา 19.06 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเว็บไซต์ของเขาเรื่อง “ประเทศไทยกับการเมือง 3 ฝ่าย” ใจความว่า...
“ยืนยันจากเวทีช่อง One ว่าการเมืองในขณะนี้ไม่ได้มี 2 ขั้ว อย่างที่มีความพยายามจะชี้นำสังคม แต่มี 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายทักษิณ ฝ่ายพลเอกประยุทธ์ และฝ่ายประชาชน
...ประชาธิปัตย์ ไม่ต้องการเห็นการบังคับให้ประชาชนเลือกข้าง เพราะไม่ต้องการเห็นการเมืองแบบเผชิญหน้ากลับมาอีก แต่ต้องการให้สนามเลือกตั้ง เป็นโอกาสที่ประชาชนจะกำหนดทิศทางประเทศ
...เราจึงเสนอแนวทาง “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต” แก้จน สร้างคน สร้างชาติ
...อย่าปล่อยให้ใคร เปลี่ยนสนามเลือกตั้งเป็นสนามรบ เพื่อให้ใครอยู่ต่อหรือพาใครกลับบ้านเลยครับ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี